เชื้อสายและการกำเนิดศาสดามูฮัมหมัด)ศ็อลฯ(
ท่านศาสดามุหัมมัด
( ศ็อลฯ ) เกิดในเวลาเช้าตรู่ของวันจันทร์ ที่ 12 เดือนรอบีอุลเอาวัล ปีช้างตรงกับวันที่ 23 เมษายน ค
. ศ .571 ณ นครมักกะฮฺ ท่านเป็นคนชาวอาหรับเผ่ากุร็อยซฺ
บิดาของท่านชื่อว่าอับดุลลอฮ บุตรอับดุลมุฏเฏาะลิบ บุตรฮาซิม บุตรอับดุลมะนาฟ
บุตรซะห์เราะห์ บุตรกิลาบ มารดาของท่านชื่อว่าอามีนะฮฺ บุตรวฮับ บุตรอับดุลมะนาฟ
บุตรซะห์เราะฮฺ บุตรกิลาบ ต้นตระกูลฝ่ายมารดาของท่าน ไปร่วมกับตระกูลฝ่ายบิดาที่กิลาบ
ซึ่งสายคนที่ห้าฝ่ายบิดาและเป็นทวดที่สี่ฝ่ายมารดา
และต้นตระกูลของท่านศาสดามุหัมมัดที่สูงขึ้นไปนั้นร่วมสายจากท่านนบีอิสมาอีล
บุตรของนบีอิบรอฮีม ( อะลัยฮิสสะลาม )
ปีที่ประสูติศาสดามุหัมมัดรู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า
“ ปีช้าง ” ทั้งนี้เพราะว่าในปีนั้น
แม่ทัพแห่งเอธิโอเปียซึ่งเป็นข้าหลวงปกครองเมืองเยเมน มีชื่อว่า " อับรอฮะหฺ "
ได้กรีฑาทัพช้างมุ่งสู่นครมักกะฮฺหวังที่จะทำลายวิหารกะบะฮฺ
กองกำลังของนครมักกะฮฺไม่มีกำลังพอที่จะต้านกองทัพของอับรอฮะหฺอันมหึมานี้ได้
ชาวมักกะฮฺต่างก็ทำได้เพียงแต่เฝ้ามองเหตุการณ์
และขอความคุ้มครองจากพระเจ้าเท่านั้น พระองค์อัลลอฮฺทรงปกป้องวิหารกะบะฮฺและยับยั้งแผนอันชั่วร้ายของกองทัพอับรอฮะหฺนี้โดยการส่งฝูงนกชนิดหนึ่งเรียกว่า
“ อะบาบีล ” นกแต่ละตัวคาบก้อนกรวดชนิดหนึ่งที่มีเชื้อร้ายไปทิ้งที่กองทัพของอับรอฮะหฺ
และเชื้อร้ายนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ กองทัพของอับรอฮะหฺ
ฺถึงกับราบพนาสูรทั้งคนทั้งช้างและม้า ร่างกายของคนและสัตว์เหมือนกับธัญญาพืชที่ถูกแมลงกัดกิน
ดังที่อัลกุรอานได้บันทึกไว้ในซูเราะฮฺอัล - ฟีล
พวกทหารของอับรอฮะหฺต่างล่าถอยหนีด้วยความกลัว
ที่หนีไม่ทันก็กลายเป็นศพตายระเนระนาด อับรอฮะหฺต้องถอนทัพกลับอย่างระสำระส่าย
เขาเองก็ถูกพิษร้ายนั้นด้วยและเสียชีวิตลงในเวลาต่อมา
หลังจากเหตุการณ์อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นไม่กี่เดือน
มักกะฮฺก็ได้รับเกียรติต้อนรับการประสูติของศาสดามุหัมมัด ( ซ . ล )
ด้วยเหตุนี้จึงเรียกปีที่ประสูติของศาสดามุหัมมัดว่า ปีช้าง
ชีวิตปฐมวัย
ท่านศาสดามุหัมมัด
( ศ็อลฯ ) กำพร้าบิดาตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์มารดา
ซึ่งล้มป่วยและเสียชีวิตที่มะดีนะฮฺในขณะที่เดินทางกลับจากการค้าที่ซีเรีย
เมื่อศาสดามุหัมมัดได้ประสูตินั้น
อามีนะฮฺผู้เป็นมารดาได้แจ้งข่าวไปยังท่านอับดุลมุฏเฏาะลิบผู้เป็นปู่ของท่านศาสดา
ท่านจึงส่งคนมารับไป และท่านได้พาเด็กน้อยผู้นี้ไปยังวิหารกะบะฮฺ และตั้งชื่อว่า “ มุหัมมัด ” ซึ่งชื่อนี้ไม่เป็นที่คุ้นเคยแก่ชาวอาหรับมากนัก
ตามธรรมเนียมของชาวอาหรับในสมัยนั้นมักจะส่งลูกน้อยไปยังทะเลทรายหลังจากสัปดาห์แรกที่เกิดมา
และให้อยู่ที่นั้นจนกระทั่งอายุได้ 5 หรือ 6 ขวบ ช่วงแรกอามีนะฮฺได้มอบให้นางษุวัยบะฮฺซึ่งเป็นคนใช้ของอบูละฮับ
ลุงของท่านนบี เป็นแม่นมท่านนบีอยู่สองสามวัน
ต่อมาท่านอับดุลมุฏเฏาะลิบได้ว่าจ้างนางหะลีมะฮฺ
จากเผ่าสะอฺด์ซึ่งเป็นหญิงชนบทคนหนึ่งให้เป็นแม่นมของท่านนบีและนำท่านไปเลี้ยงที่ชนบท
เมื่อท่านนบีมีอายุครบ 6 ขวบ
นางได้ส่งท่านนบีคืนแก่มารดาของท่านเลี้ยงดูต่อไป
ในช่วงที่นางหะลีมะฮฺได้เลี้ยงดูท่านนบีนั้น
นางได้รับโชคผลและความจำเริญอย่างมากมายผิดปกติ
อามีนะฮฺ
มีความสุขมากที่ลูกชายของเธอได้กลับมาสู่อ้อมอกของเธออีกครั้งหนึ่ง
การไปอยู่ในชนบททำให้เขาเป็นคนที่มีสุขภาพดีและร่างกายแข็งแรง
มีความคล่องแคล่วและรู้ภาษาอาหรับแท้ๆ จากทะเลทราย
ซึ่งเหล่านี้เป็นรากฐานที่จะก้าวสู่เป็นบุคคลที่สำคัญในอนาคตต่อไป อามีนะฮฺ
ต้องการพาบุตรชายให้ไปรู้จักญาติทางมารดา
และสร้างความคุ้นเคยกับพวกลุงซึ่งเป็นเผ่านัจญารในนครมะดีนะฮฺ โดยมีทาสหญิงของนางที่มีชื่อว่า
อุมมุอัยมัน ติดตามไปด้วย ขากลับจากมะดีนะฮฺ ขณะเดินทางมาถึงสถานที่หนึ่งมีชื่อว่า อัล - อับวา นางอามีนะฮฺก็ล้มป่วยลงและเสียชีวิตอยู่ที่นั้น
หลังจากนั้นทาสหญิงผู้ซื่อสัตย์ก็พาเด็กน้อยกำพร้าบิดาและมารดากลับมายังนครมักกะฮฺ
มุหัมมัดก็อยู่ภายใต้การอุปการะของปู่คือ อับดุลมุฏเฏาะลิบ แต่ก็แค่เพียง 2 ปีเท่านั้นปู่ก็ถึงแก่กรรมอีก ซึ่งขณะนั้นมุหัมมัดอายุได้แค่เพียง 8
ปี เท่านั้น
ฉะนั้นมุหัมมัดจึงเป็นเด็กกำพร้าทั้งพ่อแม่และปู่ตั้งแต่อายุยังน้อย
หลังจากนั้น
หน้าที่เลี้ยงดูมุหัมมัดก็ตกเป็นของอบูฏอลิบผู้เป็นลุง
ซึ่งรักเอ็นดูหลานชายอย่างยิ่ง จนกระทั่งเติบใหญ่
เนื่องจากลุงของท่านไม่ใช่คนร่ำรวย มุหัมมัดจึงต้องทำงาน
โดยพาฝูงแกะและอูฐตามเนินเขาและหุบเขาในทะเลทราย มุหัมมัดมีนิสัยกรุณาต่อคนยากจน
และผู้มีทุกข์มาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นคนที่ชอบอยู่อย่างสงบ รักการคิดใคร่ครวญ
ผู้คนในเผ่าเดียวกันต่างก็รักใคร่และให้เกียรติเพราะท่านมีนิสัยอ่อนโยน
มีอัธยาศัยไมตรี การที่ท่านถือความซื่อสัตย์ ซื่อตรงต่อหน้าที่
เป็นอย่างยิ่งอย่างไม่สะทกสะท้านนั้น ทำให้มมุหัมมัดได้รับการขนานนามว่า ” อัลอมีน ”
ซึ่งแปลว่าผู้ควรแก่การเชื่อถือหรือผู้ที่ได้รับการไว้วางใจ
เมื่ออายุได้สิบสองปี มุหัมมัดได้เดินทางไปค้าขายที่ซีเรียกับลุง
และที่ซีเรียนี้เองท่านได้พบกับนักบวชชาวคริสเตียนคนหนึ่งมีชื่อว่า “ บูฮัยรอ ” ซึ่งได้ทำนายว่ามุหัมมัดจะเป็นศาสดาองค์สุดท้ายและได้กล่าวไว้ว่า
" หลานชายของท่านมีลักษณะเป็นมหาบุรุษแท้
ๆ ท่านจงเลี้ยงดูเขาอย่างดีเถิด ”
หลังจากนั้นท่านอบูฏอลิบจึงนำหลานชายของท่านกลับมายังมักกะฮฺและรักษาความลับนี้ไม่ให้ใครรู้
ลุงของท่านมีฐานะทางการเงินไม่ค่อยจะดีนัก
ประกอบกับเป็นครอบครัวใหญ่จะต้องหาเลี้ยงดูลูกหลานหลายคน
จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องหารายได้มาจุนเจือครอบครัวและสร้างความมั่นคงให้แก่ลูกๆ
หลานๆ ที่อยู่ในความดูแลให้ได้รับความสุข
วันหนึ่งท่านได้ทราบข่าวว่าเศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺซึ่งเป็นบุตรสาวของคุวัยลิดต้องการจ้างคนเผ่ากุร็อยซฺให้ทำการค้าขายให้แก่เธอ
และเธอพร้อมที่จะแบ่งกำไรอย่างงามแก่ผู้ที่มีความสามารถ
ท่านจึงพามุหัมมัดไปสมัครงานกับเธอ ด้วยกิตติศัพท์แห่งความซื่อสัตย์ของมุหัมมัด
เศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺจึงตกลงรับมุหัมมัดเป็นลูกจ้างควบคุมกองคาราวานพาณิชย์ไปยังเมืองชีเรีย
โดยเธอได้ให้ทาสของเธอที่มีชื่อว่ามัยสะเราะฮฺร่วมเดินทางกับมุหัมมัดด้วย การเดินทางค้าขายของมุหัมมัดในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
และได้กำไรอย่างมหาศาลซึ่งสร้างความประทับใจแก่เคาะดีญะฮฺเป็นอย่างมาก
ประกอบกับมัยสะเราะฮฺ
ได้รายงานให้นางทราบถึงความขยันขันแข็งและความซื่อสัตย์ของมุหัมมัดในระหว่างปฏิบัติหน้าที่อย่างละเอียดถี่ถ้วน
ซึ่งเพิ่มความสนใจของนางต่อมุหัมมัดมากขึ้น
จนกระทั่งนางตัดสินใจต้องการร่วมชีวิตกับมุหัมมัด
การแต่งงานกับท่านหญิงเคาะดีญะฮ์
ผลจากการค้าขายในครั้งนี้
ทำให้ท่านนบีได้มีโอกาสรู้จักกับเศรษฐีนีเคาะดีญะฮฺ
ซึ่งในเริ่มแรกรู้จักในนามลูกจ้างกับนายจ้าง
ต่อมาด้วยกิตติศัพท์แห่งความซื่อสัตย์ของท่านนบี
ประกอบกับความสามารถในเชิงธุรกิจที่สามารถนำกำไรอย่างมหาศาลให้แก่นาง
ทำให้นางมีความสนใจในตัวท่านนบีเป็นอย่างมาก และได้เสนอตัวขอร่วมชีวิตกับท่านนบี
ในขณะนั้นนางเป็นหญิงหม้ายมีอายุได้ 40 ปี
เคยแต่งงานมาแล้ว 2 ครั้ง มีบุตรรวมทั้งหมด 3 คน หญิง 1 ชาย 2 คน
นางเป็นคนเผ่าอะสัด นางเป็นหญิงที่มีเกียรติและร่ำรวยมากในนครมักกะฮฺ
นางได้ส่งแม่สื่อชื่อว่า นุฟัยซะฮฺ ซึ่งเป็นเพื่อนของนางไปพูดเจรจากับท่านนบี
ท่านนบีก็รับคำด้วยเต็มใจ ซึ่งในขณะนั้นท่านนบีมีอายุได้เพียง 25 ปี
ชีวิตใหม่ของท่านนบีจึงเปิดฉากขึ้น
คือชีวิตของการแต่งงานที่เต็มไปด้วยความรักและความสุข
ความมั่งคั่งของนางบัดนี้ก็เป็นของท่านนบีด้วย ถึงแม้ว่าท่านนบีเป็นผู้รับผิดชอบในธุรกิจของนาง
แต่หัวใจของท่านนั้นมิได้หมกมุ่นอยู่กับงานอย่างเดียว
ความร่ำรวยมิได้มีความหมายสำหรับท่านแต่ประการได้
ท่านใช้ความมั่งคั่งซื้อและปลดปล่อยทาสและหญิงรับใช้หลายคนให้เป็นอิสระ
นอกจากนี้ท่านยังได้ปลดเปลื้องหนี้สินแก่ผู้ที่ยากไร้ซึ่งไม่สามารถที่จะชำระหนี้ของตนเองได้
ชีวิตการแต่งงานของทั้งสองดำเนินไปด้วยความสุข
นางเคาะดีญะฮฺนิยมชมชอบความปรีชาสามารถ
และบุคลิกภาพอันสง่างามของท่านนบีเป็นอย่างมาก
นางปล่อยให้ท่านมีเวลาเป็นของตัวเองได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกังวลใดๆ เลย
ยามที่ท่านมีความเศร้าโศกและความทุกข์ นางก็คอยปลอบโยนและให้กำลังใจท่านตลอดเวลา
ท่านนบีอยู่ร่วมชีวิตกับนางด้วยความซื่อสัตย์
รักใคร่และเอ็นดูจนถึงวาระสุดท้ายของนาง ท่านนบีได้บุตรกับนางด้วยกัน 6 คนเป็นบุตรชาย 2 คน
ซึ่งทั้งหมดได้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก ส่วนบุตรสาว 4 คน คือ
ซัยนับ รุก็อยยะฮฺ อุมมุกุลษูม และฟาตีมะฮฺ นอกจากนี้นางได้มอบทาสคนหนึ่งชื่อว่า
ซัยดฺ บิน
หาริษะฮฺให้แก่ท่านนบีและท่านนบีได้ให้อิสระภาพพร้อมกับประกาศเป็นลูกบุญธรรมของท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น