สงครามที่สำคัญๆ


สงครามที่สำคัญๆ

1.สงครามบัดร์อันยิ่งใหญ่

สงครามบัดรฺเป็นสงครามครั้งแรก และเป็นสงครามที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างชาวมุสลิมกับพวกกุร็อยซฺ เกิดขึ้นในเดือนรอมฏอนปีที่ 2 หลังจากอพยพ หรือ ค . ศ . 624 ณ บ่อบัดรฺ ซึ่งกองทัพมุสลิมมีจำนวนพล 313 คน ส่วนกองทัพกุร็อยซฺมีจำนวนผลประมาณหนึ่งพันคน โดยมีอบูญะฮัลเป็นแม่ทัพ
สาเหตุของสงคราม
สาเหตุของสงครามบัดรในครั้งนี้กล่าวคือ ท่านศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) ทราบข่าวว่ากองคาราวานพาณิชย์ของพวกกุร็อยซฺ ซึ่งนำโดยอบูซุฟยานกลับมาจากซีเรีย ท่านนบบีได้ปรึกษาหารือกับเหล่าสาวกของท่าน และตัดสินใจที่จะส่งทหารไปโจมตีกองคาราวานของอบูซุฟยานนี้ อบูซุฟยานไหวตัวก่อน จึงเปลี่ยนเส้นทาง พร้อมกับขอกำลังช่วยเหลือจากมักกะฮฺ ฝ่ายกุร็อยซฺมักกะฮฺจึงยกกองทัพมาเพื่อที่จะบดขยี้ฝ่ายมุสลิม กองทัพทั้งสองฝ่ายได้ประจัญบานกัน ณ บ่อบัดรฺ ซึ่งอยู่ห่างจากมะดีนะฮฺเพียงไม่กี่ไมล์ ท่านศาสดาสั่งให้ตั้งทัพอยู่ใกล้กับเนินเขาอัล อาริช และเพื่อจะตัดน้ำจากฝ่ายข้าศึกซึ่งตั้งทัพอยู่ทางด้านใต้ของหุบเขา ท่านจึงได้สั่งขุดบ่อขนาดใหญ่ขึ้นหลายบ่อให้น้ำไหลกลับเข้ามาในบ่อเหล่านั้น ทั้งนี้มิใช่เพียงเพื่อกันไม่ให้สายน้ำไหลเข้าสู่ค่ายพักของพวกข้าศึกเท่านั้น แต่เพื่อเก็บน้ำไว้ให้ฝ่ายมุสลิมใช้ด้วย ตอนเช้าตรู่ของวันที่ 13 มีนาคม ค . ศ . 624 ท่านได้จัดทัพและให้คำแนะนำแก่พวกทหารของท่านก่อนจะเคลื่อนทัพไป ท่านได้วิงวอนขอต่อพระเจ้า ขอให้ทหารของท่านมีชัยชนะต่อกองทัพของข้าศึกที่มีจำนวนมากกว่าหลายเท่า
ตามธรรมเนียมของอาหรับ นายทัพของทั้งสองฝ่ายจะต้องต่อสู้กันตัวต่อตัว นายทัพของฝ่ายกุร็อยช์มีชัยบะฮ อุตบะฮและวะลีด บิน อุตบะฮได้ท้าทายนายทัพฝ่ายมุสลิม ซึ่งมีอุบัยดะฮฺ ฮัมซะฮฺและอะลีออกไปสู้กันตัวต่อตัว นายทัพฝ่ายกุร็อยช์ต่อสู้อย่างกล้าหาญแต่ก็แพ้และถูกฆ่าตายเกือบหมด กองทัพทั้งสองจึงเข้าประจัญบานกัน ด้วยขวัญและกำลังใจที่เหนือกว่า ประกอบกับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในที่สุดกองทัพมักกะฮฺก็พ่ายแพ้ พวกทหารที่เหลือต่างก็แตกทัพและหนีออกจากสนามรบ ทหารที่เหลือถูกจับเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก อบูญะฮัล ผู้เป็นปรปักษ์ที่ร้ายกาจที่สุดของท่านศาสดาก็ถูกฆ่าตายในสนามรบด้วย
ผลของสงคราม
ผลของสงครามในครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมได้รับชัยชนะ ทหารของกุร็อยซฺถูกฆ่าตาย 70 คน และถูกจับเป็นเชลยเป็นจำนวนมาก ส่วนฝ่ายมุสลิมเป็นซะฮีดแค่ 14 คนเท่านั้น ท่านศาสดาได้สั่งให้สานุศิษย์ของท่านปฏิบัติต่อเชลยศึกที่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ก็รับแจกเสื้อผ้า และพวกเขาได้รับการเลี้ยงดูด้วยอาหารเช่นเดียวกับฝ่ายมุสลิม มุสลิมบางคนถึงกับสละขนมปังให้เชลยศึกกินส่วนตัวเองกินเพียงอินทผลัม ต่อมาท่านศาสดาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยเชลยศึกไปโดยให้มีการเสียค่าไถ่ แม้แต่ญาติของท่านเองก็ให้สอนหนังสือให้แก่เด็กชายมุสลิมสิบคนแทนการเสียค่าไถ่ ส่วนพวกที่ยากจนไม่มีเงินค่าไถ่ก็ได้รับการปล่อยตัวไปโดยให้สัญญาว่าจะไม่ต่อสู้กับมุสลิมอีกในภายหน้า การปฏิบัติของมุสลิมต่อเชลยศึกอย่างโอบอ้อมอารีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์
ผลของสงครามบัดรฺเป็นเหตุการณ์ที่มีความหมายต่อชะตากรรมขอลงอิสลามอย่างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสลาม เพราะหากฝ่ายมุสลิมไม่สามารถเอาชนะสงครามครั้งนี้ได้ อิสลามก็อาจจะถูกกวาดล้างให้สูญไปจากโลกนี้เลยก็ได้ ชัยชนะในสงครามครั้งนี้ได้ให้ความหวังใหม่แก่ชาวมุสลิมและเป็นกำลังใจแก่พวกเขาเป็นอย่างมาก ในสงครามนี้อำนาจของพวกกุร็อยช์ก็ถูกทำลายลงและความหยิ่งผยองของพวกเขาก็ลดลงไปด้วย ในขณะที่อิทธิพลของท่านศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) และอำนาจของอิสลามเริ่มมีมากขึ้นตลอดไปถึงอาณาบริเวณนอกเมืองมะดีนะฮฺด้วย สงครามครั้งนี้ยังมีผลกระทบกระเทือนอย่างหนักต่อชาวยิวและชนเผ่าใกล้เคียงคือ เบดูอินพวกเขาได้รู้ว่าบัดนี้ได้มีพลังอันไม่อาจจะเอาชนะได้เกิดขึ้นแล้วในอารเบีย แต่ก่อนนี้พวกยิวไม่ได้ให้ความสำคัญอันใดแก่ชาวมุสลิมนักแต่เดี๋ยวนี้พวกเขาเริ่มรู้ถึงความเข้มแข็งของมุสลิม สงครามบัดร์ช่วยให้ฝ่ายมุสลิมผนึกกำลังของอิสลามในมะดีนะฮฺ และทำให้พวกเขาต่อสู้กับผู้คนที่มีทิฐิในเมืองนั้น ได้อย่างไม่หวั่นหวาด

2.สงครามอูฮุด

สงครามอุฮุดเกิดขึ้นในปีที่ 3 หลังจากอพยพ หรือ ค . ศ . 625 ณ เชิงเขาอุฮุดทางตอนเหนือของเมืองมะดีนะฮฺ โดยฝ่ายกุร็อยซฺมีกำลังพลถึง 3,000 คน ซึ่งนำโดยอบูซุฟยาน ส่วนฝ่ายมุสลิมมีกำลังพลแค่ 700 คน เท่านั้น
สาเหตุของสงคราม
พวกกุร็อยช์ไม่อาจจะลืมความพ่ายแพ้อย่างยับเยินที่ฝ่ายตนได้รับในสงครามบัดร์ได้ ทำให้หัวหน้าบางคนของพวกเขาอย่างเช่นอบูญะฮช์และอุตบะฮฺได้ถูกฆ่าตายไปในการต่อสู้ครั้งนั้น นับแต่นั้นมาก็มีเสียงกู่ก้องแก้แค้นดังขึ้นทั่วหุบเขาแห่งมักกะฮฺ นอกจากนั้นการที่พวกลูกหลานของฮาชิมมีอำนาจสูงขึ้นภายใต้การนำของท่านศาสดาก็ยังเป็นที่บาดใจของพวกอุมยยะฮฺอีกด้วย ดังนั้นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนสองสาขาของตระกูลกุร็อยช์คือพวกฮาชิมกับอุมัยยะฮฺจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในปีที่ 3 แห่งฮิจญ์เราะฮฺพวกกุร็อยช์ได้เคลื่อนกองทัพมีจำนวน 3000 คนภายใต้การนำของอุบูซุฟยานตรงมายังมะดีนะฮฺหลังจากเดินมาได้สิบวันก็มาถึงหุบเขาอะกีก ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกของมะดีนะฮฺประมาณห้าไมล์ และได้ตั้งค่ายอยู่ที่เชิงเขาอุฮุดซึ่งอยู่ทางเหนือของมะดีนะฮฺ ภายในภูเขามีถ้ำกว้างพอที่จะบรรจุคนได้หลายพันคน
เมื่อท่านศาสดาได้ข่าวว่า กองทัพพวกกุร็อยชฺเคลื่อนมาจึงได้สั่งให้สานุศิษย์ของท่านเตรียมตัวไว้ท่านศาสดาต้องการจะรับศึกในเมือง แต่บรรดาทหารหนุ่มทั้งหลายนั้นกระตือรือร้นใคร่จะออกไปรับมือข้าศึกที่นอกเมือง เป็นเหตุให้ท่านศาสดาต้องตัดสินใจยกทัพออกนอกมะดีนะฮฺ ฝ่ายมุสลิมมีทหารจำนวนหนึ่งพันคน แต่ในระหว่างทางหัวหน้ามุนาฟิกคืออับดุลลอฮ อิบนุ อุบัยดฺ กับพรรคพวกของเขาจำนวน 300 คนได้ละทิ้งกองทัพไปเสีย กองทัพของฝ่ายมุสลิมจึงเหลือเพียง 700 คนเท่านั้น กองทัพอิสลามเคลื่อนทัพมายังภูเขาอุฮุดและใช้ถ้ำในภูเขาเป็นที่ตั้งค่ายทหาร ท่านนบีได้ตัดสินใจที่จะต่อสู้ตรงส่วนโค้งด้านนอกของภูเขาและได้สั่งให้ทหารธนูจำนวน 50 คนเข้าประจำที่บนเนินเขาอัยนัยน์ (Ainain) ทหารแม่นธนูเหล่านั้นร่วมกับทหารม้ากองเล็ก ๆ จะเป็นผู้คอยคุ้มครองทางผ่านระหว่างภูเขาอุฮุดกับเนินเขาอัยนัยน์ ไม่ให้ฝ่ายข้าศึกโจมตีมาจากด้านหลังกองทัพมุสลิมได้ เมื่อฝ่ายกุร็อยช์รู้ว่ากองทัพของฝ่ายมุสลิมมาถึงแล้ว ก็ออกมารับมือด้วยกองทหารราบทั้งหมดกับกองทหารม้าอีกครึ่งกองภายใต้การนำของอิคริมะฮฺ ส่วนทหารม้าอีกครึ่งกองภายใต้การนำของคอลิด บิน วะลีด จะอ้อมไปโจมตีฝ่ายมุสลิมจากด้านหลัง
ผลของสงคราม
ในระหว่างการสู้รบตอนแรกฝ่ายมุสลิมได้ชัยชนะ แต่ยังไม่ทันที่การรบจะสิ้นสุดลง กองทหารธนูเห็นชัยชนะเป็นของพวกตน จึงได้ลงมารุกไล่ฝ่ายศัตรูและช่วยกันเก็บทรัพย์สินสงครามโดยละทิ้งหน้าที่ ทั้งๆที่ท่านนบีได้สั่งแล้วว่าห้ามละทิ้งหน้าที่เป็นอันขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กองทัพฝ่ายมุสลิมจึงระส่ำระสายไม่เป็นระเบียบ คอลิดเห็นได้โอกาสจึงลอบเข้าโจมตีกองทัพมุสลิมจากด้านหลัง ทำให้ฝ่ายมุสลิมพ่ายแพ้แตกกระจัดกระจายไป ท่านศาสดาพยายามที่จะนำพวกเขากลับมาแต่ก็ไม่สำเร็จ ฝ่ายกุร็อยชฺได้ขว้างก้อนหินมายังท่านศาสดาจนทำให้ท่านล้มลงบนพื้นดิน ปากแตก ฟันหักไปหลายซี่ ท่านพยายามลุกขึ้นแต่ก็ล้มลงไปอีกในหลุมที่พวกกุร็อยซฺขุดดักไว้ ท่านอะลีและฏ็อลฮะฮฺ ก็ได้พยุงท่านให้ลุกขึ้นมา และในเวลานั้นมีข่าวลือไปว่าท่านศาสดาถูกฆ่าเสียแล้ว อันที่จริงนั้นท่านเพียงแต่ตกตลึงไปเท่านั้น . ท่านได้ไต่เข้าไปซ่อนในถ้ำในภูเขาอุฮุดซึ่งกองทัพส่วนใหญ่ของท่านกำลังรออยู่ ฝ่ายมุสลิมสูญเสียชีวิตเป็นซะฮีด 70 คน ในสงครามนี้มีเหตุการณ์ที่น่าเศร้าเกิดขึ้นกล่าวคือ นางฮินด์ ซึ่งเป็นภรรยาของอบูซุฟยานได้ทำร้ายศพชาวมุสลิมโดยการตัดหู ตัดจมูกอย่างบ้าคลั่ง และที่น่าเศร้าที่สุดนางได้ผ่าท้องท่านฮัมซะฮฺซึ่งเป็นลุงของท่านนบี ควักตับออกมาเคี้ยวกิน เพื่อแก้แค้นที่ท่านฮัมซะฮฺได้ฆ่าญาติพี่น้องของนางในสงครามบัดรฺครั้งที่แล้ว

3.สงครามกับยิวเผ่านาฎีร

เผ่านะฎีรเป็นชาวยิวหนึ่งในสามเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมืองมะดีนะฮฺ คือ ยิวเผ่าก็อยนุกออฺ และยิวเผ่ากุร็อยซะฮฺ ยิวเผ่าก็อยนุกออฺนั้นถูกขับไล่ออกจากเมืองมะดีนะฮฺแล้วเมื่อฮิจเราะฮฺศักราชที่ 3 ทั้งนี้พวกเขาได้ละเมิดสนธิสัญญาสันติที่ทำขึ้นกับชาวมุสลิม ส่วนสงครามยิวเผ่านะฎีรนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนร็อบบิลอุลอัววัล ปีที่ 4 แห่งฮิเราะฮฺศักราช
สาเหตุและผลของสงคราม
มีอยู่วันหนึ่ง ท่านนบีพร้อมกับสหายของท่านไปเยี่ยมยิวเผ่านะฎีร ณ หมู่บ้านของพวกเขา ทั้งนี้เพื่อที่จะตกลงในเรื่องค่าชดเชยที่อุมัร บิน อุมัยยะฮฺซึ่งเป็นมุสลิม ได้ฆ่าชาวยิวเผ่าอามิรสองคนตายโดยไม่เจตนา ในขณะที่ท่านนบีเข้าไปในหมู่บ้านพวกยิวเผ่านะฎีรนั้น พวกเขาได้วางแผนลอบสังหารท่านนบีโดยการโยนก้อนหินจากหลังคาบ้านลงมาบนศรีษะของท่านนบี แต่แผนการณ์อันชั่วร้ายนี้รับรู้ถึงท่านนบีโดยการบอกของมะลาอิกะฮฺ ท่านนบีจึงถอยออกจากหมู่บ้านนั้น และรีบกลับมายังมะดีนะฮฺคนเดียว โดยไม่บอกให้สหายของท่านทราบ และปล่อยให้พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านชาวยิวนั้น สหายของท่านรู้สึกแปลกใจที่นบีหายไป จึงช่วยกันหา ระหว่างทางเจอกับคนคนหนึ่งที่พึงกลับมาจากมะดีนะฮฺและทราบว่าท่านนบีกลับมาถึงมะดีนะฮฺแล้ว
ท่านนบีเล่าถึงแผนการร้ายนี้ให้แก่สาวกผู้ใกล้ชิดได้รับรู้ และปรึกษาหารือกันเพื่อจะจัดการกับยิวกลุ่มนี้ จึงมีมติตกลงกันส่งท่านมุหัมมัด บิน มัสละมะฮฺ เป็นตัวแทนของท่านไปยื่นคำขาดให้แก่ยิวเผ่านะฎีรให้ออกจากพื้นที่มะดีนะฮฺภายใน 10 วัน ฐานละเมิดสนธิสัญญาและพยายามลอบสังหารท่านนบี เมื่อพวกเขาทราบว่าถูกเนรเทศออกจากมะดีนะฮฺ จึงคิดปักหลักต่อสู้ทันที หัวหน้าของพวกเขาที่มีชื่อว่า ฮูยัย อิบนุอัคตอบ ได้สั่งพักพวกเขาเตรียมอาวุธ อาหารและสัมภาระอื่นๆ ตั้งมั่นอยู่ในป้อมค่าย ท่านนบีได้ยกทัพมาปิดล้อมพวกเขา สงครามดำเนินไปประมาณ 15 วัน 15 คืน ในที่สุดพวกยิวจึงยอมแพ้ พวกเขาได้ขอร้องให้ท่านนบีไว้ชีวิตและปล่อยพวกเขาไป ท่านนบีได้ปล่อยพวกเขาโดยมีเงื่อนไขว่า
•  ยิวเผ่านะฎีรทุกคนจะต้องออกจากมะดีนะฮฺ ยกเว้นผู้ที่เข้ารับอิสลาม
•  ห้ามนำอาวุธและสัมภาระอื่นๆ เว้นแต่ที่จำเป็นเท่านั้น
•  อนุญาตให้ชาวยิวสามารถนำอูฐออกไปได้ครอบครัวละ 3 ตัว
ส่วนหนึ่งของพวกเขาได้อพยพตั้งหลักแหล่งที่ค็อยบัร และอีกส่วนหนึ่งไปอยู่ทางใต้ของซีเรีย กองทัพมุสลิมสามารถยึดอาวุธยุทโธปกรณ์ อาหารและที่ดินของพวกยิวเผานะฎีรนี้เป็นจำวนมาก

4.สงครามคูเมือง)ค็อนดัก(

สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนซาวัล ปีที่ 5 ของฮิเราะฮศักราช เกิดขึ้นในรอบๆ เมืองมะดีนะฮฺ ที่มีชื่อว่าสงครามคูเมือง หรือค็อนดักนั้น เพราะว่าฝ่ายมุสลิมได้ขุดคูรอบๆ มะดีนะฮฺเพื่อปกป้องการโจมตีของฝ่ายศัตรู สงครามนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าสงครามอัหซาบ แปลว่าเผ่าและกลุ่มต่างๆ กล่าวคือ ฝ่ายกุร็อยซฺมักกะฮฺได้พยายามรวบรวมพันธมิตรจากเผ่าและกลุ่มต่างๆ เป็นจำนวนมากมาโจมตีเมืองมะดีนะฮฺ
สาเหตุของสงคราม
ถึงแม้ว่ามุสลิมจะพ่ายแพ้ในสงครามอุฮุด แต่ในเวลาต่อมาก็สามารถรวมกำลังกันได้เข้มแข็งกว่าเดิม พวกกุร็อยช์ยังต้องการที่จะเข่นฆ่าพวกมุสลิมอยู่ต่อไป พวกเบดูอินเผ่าต่างๆ ซึ่งไม่ชอบใจที่ท่านศาสดาคอยขัดขวางไม่ให้พวกเขาคอยดักปล้นสดมภ์คนเดินทาง จึงเข้าสมทบกับพวกกุร็อยชฺด้วย พวกยิวเผ่านะฎิรที่ถูกขับไล่ออกจากเมืองเพราะทำการทรยศและประพฤติมิชอบ จึงได้คบคิดกับพวกกุร็อยช์และพวกเบดูอินเผ่าต่างๆ ต่อต้านมุสลิม
ในปีที่ 5 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช หรือ ค . ศ . 627 พวกกุร็อยชฺ เบดูอินเผ่าต่างๆ และยิวรวมหัวกันตกลงจะโจมตีเมืองมะดีนะฮฺ จึงได้ยกกองทัพใหญ่ประกอบด้วยพลทหาร 10,000 คน พร้อมด้วยม้า 600 ตัว ภายใต้การนำของอบูซุฟยาน เมื่อท่านนบีได้ทราบข่าวของข้าศึกก็รวบรวมกำลังคนได้ 3000 คน เพื่อรอรับข้าศึก ด้วยคำแนะนำของซัลมาน อัล ฟาริซียะฮฺ ท่านศาสดาได้ให้ขุดคูยาวล้อมเมืองไว้ และสั่งให้ผู้คนที่อยู่นอกเมืองเข้ามารวมกันอยู่ในเมือง ส่งพวกผู้หญิงและเด็กๆ ไปไว้ในหอคอยและป้อมต่างๆ กองทัพพวกกุร็อยชฺและบรรดาพันธมิตรเข้ามาล้อมเมือง พยายามจะโจมตีและยึดเมืองมะดีนะฮฺไว้ แต่ฝ่ายมุสลิมก็ตอบโต้ไว้ได้ทุกครั้ง สงครามได้ยืดเยื้อนานหลายสัปดาห์ ซึ่งในระหว่างนั้นเสบียงอาหารของฝ่ายกุร็อยชฺได้ร่อยหรอลง ทำให้พวกเขาลังเลใจ และเบื่อหน่ายที่ปิดล้อมเมืองมะดีนะฮฺอย่างไร้ผลและไม่เห็นชัยชนะอย่างเด็ดขาด และในระหว่างนั้นเกิดความไม่ไว้วางใจระหว่างพันธมิตรของกุร็อยซฺด้วยกัน ประกอบกับมีพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรงทำให้ค่ายทหารของฝ่ายกุร็อยซฺเสียหายเป็นจำนวนมาก อบูซุฟยานจึงตัดสินใจถอนกำลังถอยกลับมักกะฮฺ พวกเบดูอินเผ่าต่างๆ และพวกยิวต่างก็ทยอยถอนกำลังไป และต่างก็รู้สึกหมดกำลังใจที่ทำสงครามไม่ได้ผล
ผลของสงคราม
ถึงแม้ว่าสงครามในครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมตายซะฮีด 6 คน ฝ่ายกุร็อยซฺตายเพียง 4 คน ก็ตาม แต่ผลของสงครามนั้นบ่งบอกถึงความพ่ายแพ้ของฝ่ายกุร็อยซฺ และเหล่าพันธมิตรของพวกเขาอย่างยับเยิน ผลของสงครามคูเมืองเป็นเสมือนหัวเลี้ยวหัวต่อในประวัติศาสตร์อิสลาม การโจมตีของฝ่ายกุร็อยชฺไม่ได้ผลถึงแม้ว่าเขาได้พยายามรวบรวมพันธมิตรจากเผ่าต่างๆ แล้วก็ตาม แสดงถึงความอ่อนแอของกำลังทหารของฝ่ายพวกเขา ศักดิ์ศรีของพวกกุร็อยชฺจึงเสื่อมคลาย ตรงกันข้าม ชัยชนะในสงครามทำให้ท่านศาสดามีเกียรติยศสูงส่งขึ้นอีกในฐานะเป็นผู้ป้องกันเมืองไว้จากการรุกรานของศัตรูได้ บัดนี้ชาวเมืองมะดีนะฮฺจึงถือว่าท่านเป็นผู้ปกครองเมืองนั้นอย่างเด็ดขาด ชัยชนะที่ฝ่ายมุสลิมมีต่อกองทัพซึ่งมีจำนวนมหาศาลกว่าครั้งนี้ได้ยังผลให้เผ่าต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อฝ่ายมุสลิมอีกด้วย นับตั้งแต่นั้นมาอิสลามก็ได้แผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ในท่ามกลางชนเผ่าใกล้เคียง
ในปี ฮ .ศ .ที่ 6 ท่านศาสดาได้ทำสัญญากับชาวคริสเตียน อันเป็นเหตุการณ์ที่มีขันติธรรมอย่างแท้จริงของท่าน ชาวคริสเตียนเหล่านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีอย่างยุติธรรม พระของพวกเขาก็จะไม่ถูกขับไล่ออกจากโบสถ์ชาวคริสเตียนที่จะไปแสวงบุญจะไม่ถูกหน่วงเหนี่ยวไว้ โบสถ์ของคริสเตียนจะไม่ถูกโค่นทำลายเพื่อเอามาก่อสร้างมัสญิด หญิงคริสเตียนที่แต่งงานกับชายมุสลิมก็มีสิทธิ์ที่จะยังคงนับถือศาสนาเดิมของตนได้ในเมื่อมีการซ่อมแซมโบสถ์คริสเตียนมุสลิมจะต้องให้ความร่วมมือช่วยเหลือด้วย

5.สนธิสัญญาหุดัยบียะฮ

เวลาได้ผ่านไปหกปีแล้วที่ชาวมุสลิมทิ้งมักกะฮฺมาอาศัยอยู่มะดีนะฮฺ นับตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปทำฮัจญ์หรือเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาเลย หลังสงครามคูเมืองแล้วพวกมุสลิมต่างก็กระตือรือร้นอยากกลับไปเยี่ยมเยียนบ้านเกิดของพวกเขา ท่านศาสดารู้ถึงความปรารถนาอันแรงกล้าของพวกเขา จึงได้ประกาศว่าท่านจะไปเยือนมักกะฮฺในปีฮิจเราะฮฺ ศักราชที่ 6 ( ค . ศ .628 ) ท่านก็ได้เดินทางมุ่งไปมักกะฮฺเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์พร้อมด้วยผู้ติดตามจำนวน 1,400 คน ขณะนั้นเป็นเดือนซุลเกาะดะฮฺ ซึ่งเป็นเดือนต้องห้าม การทำสงครามในเดือนนั้น ถือเป็นสิ่งที่ผิดอย่างมหันต์ แม้กระนั้นพวกกุร็อยช์ไม่ต้องการให้ท่านศาสดาเข้ามาในเมืองมักกะฮฺ และประกอบพิธีฮัจญ์
ดังนั้นเมื่อพวกเขาทราบถึงการมาของชาวมุสลิม พวกเขาก็รีบมาขวางทางไว้ ท่านศาสดาจึงวกไปทางอื่นและหยุดพักอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อว่าหุดัยบียะฮฺ ซึ่งอยู่ห่างจากมักกะฮฺ ประมาณเก้าไมล์ ท่านศาสดาและฝ่ายกุร็อยซฺต่างก็ส่งตัวแทนเข้ามาเจรจาเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ในครั้งนี้ตกลงกันได้ด้วยสันติ พวกเขายืนกรานห้ามท่านนบีและสานุศิษย์ของท่านเข้าเมืองมักกะฮฺในปีนี้ ท่านนบีจึงส่งท่านอุษมานเป็นตัวแทนของท่าน เพื่อเจรจากับอบูซุฟยาน การเจรจาดำเนินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดข่าวลือแพร่ออกไปว่าท่านอุษมานถูกพวกกุร็อยช์ฆ่าตายเสียแล้วจึงก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างใหญ่โตขึ้นในค่ายพักของชาวมุสลิม ท่านศาสดาได้นั่งลงใต้ต้นไม้ใหญ่และขอให้สานุศิษย์ของท่านให้สัตย์ปฏิญญาณว่าพวกเขาจะต่อสู้จนคนสุดท้าย ถ้าหากอุษมานมีอันเป็นไป ทุกคนเต็มใจที่จะแก้แค้นแทนท่านอุษมาน ข้อตกลงนี้เรียกว่า ข้อตกลงของบรรดาผู้ที่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ซึ่งมีบันทึกในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลฟัตฮฺ อายะฮฺที่ 18 แต่แล้วท่านอุษมานก็กลับมาหลังจากนั้นสองสามวัน
พวกกุร็อยชฺรู้สึกกลัวและในที่สุดก็ยอมตกลงกันได้ในบางเรื่องกับฝ่ายมุสลิม ได้มีการทำสนธิสัญญาขึ้นระหว่างพวกกุร็อยชฺกับท่านศาสดา สนธิสัญญานี้ร่างขึ้นด้วยความเห็นชอบทั้งสองฝ่าย โดยมีสุฮัยลฺ อิบนุ อัมรฺ เป็นผู้เซ็นทราบในนามตัวแทนของชาวมักกะฮฺ สนธิสัญญานี้เรียกว่า สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺ ซึ่งมีข้อตกลงกันดังนี้
•  ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ยุติการสู้รบและการรุกรานด้วยกำลัง มีกำหนดระยะเวลา 10 ปี
•  ผู้ใดก็ตามที่เป็นชาวกุร็อยซฺหากเดินทางมายังมุหัมมัด โดยมิได้มีหนังสือรับรองจากหัวหน้าฝ่ายนั้น จะต้องถูกส่งตัวกลับทันที
•  มุสลิมคนใดที่เดินทางมาเรื่องธุรกิจ เพื่อติดต่อกับชาวมักกะฮฺ จะต้องไม่ถูกกักกันหรือแกล้งยึดตัวไป
•  ประชาชนกลุ่มใดที่ปรารถนาจะเข้าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้พึงถือว่ามีเสรีภาพที่จะทำได้โดยไม่มีเงื่อนไข
•  เมื่อชาวมุสลิมปฏิบัติพิธีฮัจญ์เสร็จสิ้นแล้ว จะต้องรีบเดินทางกลับทันที
•  ชาวมุสลิมจะได้รับอนุญาติให้เข้ามาประกอบพิธีฮัจญ์ในนครมักกะฮฺ และจะพักอยู่ได้ไม่เกิน 3 วัน และจะต้องไม่มีอาวุธอื่นติดตัวมาด้วยนอกจากมีดสั้นเพียงเล่มเดียว
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับอิสลาม ข้อความในสนธิสัญญาแสดงความยิ่งใหญ่ของท่านศาสดาและความดีงามของวิถีทางของท่าน ถึงแม้ว่าภายนอกสนธิสัญญานี้จะทำให้ฝ่ายมุสลิมเสียเกียรติก็ตาม มันก็ให้ประโยชน์แก่ท่านศาสดาเป็นอย่างมาก เพราะสนธิสัญญานี้รับรู้สถานภาพทางการเมืองของท่านนบีในฐานะที่มีอำนาจเป็นอิสระ ยิ่งกว่านั้นเวลาสงบศึกสิบปีนั้นก็เป็นการให้เวลาและโอกาสแก่อิสลามที่ขยายออกไปได้อย่างแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะพวกกุร็อยช์ได้ ทั้งในด้านการเมืองและด้านจิตวิญญาณ ผลของสนธิสัญญานี้ก็คือมีผู้มาเข้ารับอิสลามมากขึ้นอย่างมากมาย นักรบผู้สามารถอย่างคอลิด บิน วะลีด และอัมร์ บินอัส ก็ได้มาเข้ารับอิสลามหลังจากที่ได้ทำสนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺนี้
ในเมื่อท่านศาสดารู้สึกมั่นใจในตำแหน่งของท่าน ท่านก็ได้ส่งทูตไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ผู้ปกครองแคว้นต่างๆ ของอารเบียเพื่อชักชวนให้เขาเหล่านั้นมารับอิสลาม และประกาศศาสนาให้แผ่ไพศาลยิ่งขึ้น มีผู้ปกครองจำนวนมากที่เข้ารับอิสลาม แต่จักรพรรดิ์คุสโร แห่งเปอร์เซียกลับดูหมิ่นทูตที่ท่านศาสดาส่งไป และทูตอีกคนหนึ่งที่ถูกส่งไปยังเจ้าชายคริสเตียนแห่งดามัสกัสก็ถูกฆ่าตายอย่างทารุณ

6.การพิชิตค็อยบัร สงคราครั้งสุดท้ายกับพวกยิว

สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนมะหฺรอม ปีที่ 7 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตำบลค็อยบัร ทางตอนเหนือของเมืองมะดีนะฮฺ ที่มีชื่อว่าค็อยบัร ทั้งนี้เพราะว่าหมู่บ้านดังกล่าวมีป้อมปราการที่แข็งแรงหลายแห่งล้อมรอบหมู่บ้านนี้ ยิวที่อยู่ในตำบลนี้เป็นกลุ่มที่แข็งแรงที่สุด ร่ำรวยที่สุด และมีอาวุธมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับยิวกลุ่มอื่นๆ ในอารเบีย หัวหน้าพวกเขามีชื่อว่า ซัลลาม อิบนุ มิก ชาม ท่านนบีได้ยกกองทัพซึ่งประกอบด้วยนักรบฝีมือดีประมาณ 1,600 คน และทหารม้าอีก 100 คน เข้าจูโจมพวกยิวที่ค็อยบัรอย่างกระทันหันโดยที่พวกเขาไม่ทราบล่วงหน้า
สาเหตุและผลของสงคราม
พวกยิวเป็นพวกที่ก่อกวนท่านนบีมาโดยตลอด และชอบหักหลังและทรยศซ้ำเติมเสมอขณะที่ชาวมุสลิมอยู่ในภาวะคับขัน พวกเขามักละเมิดสัญญาที่ทำต่อกันไว้และทำตัวเป็นพันธมิตรกับฝ่ายศัตรูของชาวมุสลิม สิ่งเหล่านี้สร้างความเจ็บปวดแก่ชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มยิวที่ถูกเนรเทศออกจากเมืองมะดีนะฮฺและมาอาศัยอยู่ที่ค็อยบัร พวกเขามีความปรารถนาที่จะแก้แค้นท่านนบีอยู่ตลอดเวลา พวกเขาได้พยายามทำตัวเป็นศัตรูต่อชาวมุสลิมทุกวิถีทาง หลายครั้งหลายหนพวกเขาได้ปล้นสดมภ์ทุ่งเลี้ยงสัตว์ของมุสลิมในเขตเมืองมะดีนะฮฺแล้วหลบหนีไปพร้อมด้วยสัตว์ที่ปล้นมา เพื่อที่จะลงโทษพวกเขา และสร้างความปลอดภัยทางตอนเหนือของมะดีนะฮฺ ท่านศาสดาจึงได้นำกองทัพซึ่งมีจำนวนพล 1,600 คน และทหารม้าอีก 200 ตัว ไปโจมตีพวกยิวที่ค็อยบัรโดยไม่ทันรู้ตัว กองทัพมุสลิมเข้าล้อมค็อยบัรอย่างเข้มงวด พวกยิวก็ต่อสู้อย่างจนตรอกป้อมปราการหลายแห่งของยิวถูกกองทัพมุสลิมตีแตก จนในที่สุดพวกยิวหมดหนทางต่อสู้จึงขออภัยต่อท่านนบี และขอร้องให้ทำสัญญาสันติภาพระหว่างกันขึ้น ท่านศาสดาก็รับข้อเสนอของพวกเขาโดยมีเงื่อนไขว่า อนุญาตให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่เดิมได้ แต่พวกเขาต้องแบ่งผลผลิตจากการปลูกพืชพันธุ์ในแต่ละปีให้แก่ชาวมุสลิมครึ่งหนึ่งเป็นภาษีรัชชูปการ เมื่อพวกยิวหมดอำนาจทางการเมืองและยอมจำนนต่อท่านศาสดาหมดแล้ว ดินแดนทางตอนเหนือของเมืองมะดีนะฮฺก็มีความปลอดภัย เช่นเดียวกับดินแดนทางใต้หลังจากที่ได้ทำสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ
มุสลิมมีชีวิตอย่างปลอดภัยในนครมะดีนะฮฺ มีชีวิตที่รุ่งเรื่อง มีความมั่งคั่ง ในระยะนี้ชาวมุสลิมไม่ได้คิดถึงสงครามหรือการต่อสู้ใดๆ นอกจากการส่งทหารไปปราบปรามผู้ที่รุกรานดินแดนและทรัพย์สมบัติของพวกเขาเท่านั้น แต่ก็เป็นสงครามย่อยๆ ไม่ค่อยสำคัญอะไรมากนัก ในเดือนซุลเกาะดะฮฺ ปีที่ 7 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ท่านนบีกับชาวมุสลิมประมาณ 2,000 คน ได้ออกเดินทางไปทำอุมเราะฮฺ ณ นครมักกะฮฺ ตามข้อตกลงในสัญญาหุดัยบิยะฮฺ สร้างความพอใจให้กับมุสลิมที่ได้ไปเยือนมักกะฮฺอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาสามารถอยู่ที่นั้นได้สามวัน เมื่อทำพิธีอันศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วก็เดินทางกลับมายังมะดีนะฮฺอย่างปลอดภัย

7.สงครามมุฮ์ตะฮฺ

สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนญะมาดิลเอาวัล ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ ตำบลมุอ์ตะฮฺในเขตประเทศชาม นับว่าเป็นสงครามแรกที่กองทัพมุสลิมเผชิญหน้ากับกองทัพโรมัน กองทัพมุสลิมมีจำนวนพลประมาณ 3,000 คน สงครามในครั้งนี้ท่านนบีไม่ได้นำทัพไปเอง ท่านได้แต่งตั้งท่านชัยดฺ อิบนุ ฮะรีษะฮฺ เป็นแม่ทัพ มี ญะอฺฟัร อิบนุ อบีฎอลิบ เป็นรองแม่ทัพ และมี อับดุลเลาะฮฺ อิบนุ เราะวาหะฮฺ เป็นแม่ทัพรองจากท่านญะอฺฟัร และมีท่านคอลิด อิบนุ วะลีด ซึ่งเพิ่งเข้ารับอิสลามใหม่ๆ ได้อาสาไปรบในกองทัพด้วย ส่วนกองทัพของไบแซนไตน์รวมแล้วมีจำนวนพลไม่น้อยกว่า 200,000 คน
สาเหตุของสงคราม
ในระหว่างสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ ท่านศาสดาได้พยายามส่งคณะทูตไปยังเมืองต่างๆ เพื่อเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ในระหว่างนั้นคณะทูตของท่านนบี 5 คนที่ส่งไปยังเผ่าบนูสุลัยมฺ ถูกฆ่าตายไป 4 คน มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหนีรอดกลับมายังมะดีนะฮฺได้ ท่านได้ส่งคณะทูตอีก 15 คน ไปยังซาต อัตตัลฮฺ ซึ่งอยู่ชานเมืองของประเทศชาม แต่คณะทูตถูกระดมยิงด้วยธนูจนสิ้นชีวิตหมด ท่านนบีไม่พอใจอย่างมากกับเหตุการณ์นี้ และสาเหตุอีกประการหนึ่งคือ ความโกรธแค้นที่คนในเผ่าฆ็อสสานได้จับและฆ่าอย่างทารุณคณะทูตผู้ถือสาส์นของท่านนบีไปยังเจ้าเมืองบุศรอ การฆ่าคณะทูตนั้นได้กระทำในนามของจักรพรรดิ์ฮิราคลิอุสแห่งไบแซนไตน์ การกระทำเช่นนี้เป็นการทำลายความสงบและกฎระหว่างประเทศ ท่านนบีจำเป็นจะต้องจัดกองทัพเพื่อที่ลงโทษเจ้าเมืองบุศรอ และเผ่าฆ็อสสานที่ปฏิเสธความรับผิดชอบในเหตุการณ์ฆาตกรรมในครั้งนี้
เมื่อข่าวการยกทัพของฝ่ายมุสลิมได้แพร่หลายยังพวกไบแซนไตน์ เชอราบีล ซึ่งเป็นแม่ทัพของฮิราคลิอุสอยู่ในเมืองชามก็ได้รวบรวมกำลังพลเป็นจำนวนมาก ในขณะเดียวกันได้ขอร้องให้ฮิราคลิอุสส่งทหารโรมันและอาหรับเพิ่มอีกประมาณ 100,000 คน ซึ่งตั้งทัพอยู่ที่มะอับในเมืองบัลกา น้องชายฮิราคลิอุส คือ ธิโอโดรัส ก็ยกกำลังพลจากทหารไบแซนไตน์ประมาณ 100,000 คนมาสมทบอีก ทำให้กองทัพของโรมันมีจำนวนพลไม่น้อยกว่าสองแสนคน
ฝ่ายกองทัพมุสลิมซึ่งขณะนั้นตั้งทัพอยู่ที่มะอานเมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะข้าศึกมีกำลังจำนวนหลายสิบเท่าตัว ซึ่งมองไม่เห็นชัยชนะเลย แต่ด้วยความศรัทธาที่เข้มแข็ง และมั่นใจในพลังศรัทธา พวกเขาจึงเดินทัพต่อไปยังบัลกาและมุ่งสู่ตำบลมุอฺตะฮฺ ซึ่งกองทัพไบแซนไตน์ตั้งค่ายอยู่ที่นั้นอยู่แล้ว สองกองทัพจึงเผชิญหน้ากัน ฝ่ายมุสลิมถึงแม้ว่าจะเสียเปรียบในจำนวนพลแต่ก็เข้าตีข้าศึกอย่างไม่รั้งรอ การรบดำเนินไปอย่างทรหด ทารุณและโหดเหี้ยมที่สุด ฝ่ายมุสลิมได้จู่โจมลึกเข้าไปและถลำตัวอยู่ในวงล้อมของข้าศึก จนถูกข้าศึกบีบกระชับได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ท่านชัยดฺ อิบนุ ฮะรีษะฮฺ ซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายมุสลิมเสียชีวิตในขณะที่ทำการรบ ท่านญะอฺฟัร ซึ่งเป็นรองแม่ทัพได้เข้าทำหน้าที่แทนและได้เสียชีวิตอีกเช่นกัน แม่ทัพรองจากท่านญะอฺฟัร คือ อับดุลลอฮฺ ก็รับช่วงต่อแต่ก็เสียชีวิตอีก นายทหารชั้นนำหลายคนเสียชีวิตในสนามรบ ในขณะที่ฝ่ายกองทัพอิสลามกำลังขาดผู้นำอยู่นั้น เหล่าทหารมุสลิมต่างก็ขอร้องให้ขุนพลคอลิด อิบนุวะลีด รับหน้าที่เป็นแม่ทัพต่อ เพราะทุกคนทราบดีว่าในสมัยก่อนอิสลามนั้น คอลิด เป็นขุนพลที่เชี่ยวชาญในการรบมาก ท่านคอลิด ก็ยอมรับตำแหน่งนั้นทั้งๆ ที่กองกำลังฝ่ายมุสลิมอยู่ภาวะที่ระส่ำระสายอย่างมาก เขาได้พยายามรวบรวมพลที่เหลืออยู่และตั้งตัวใหม่ เขาได้สั่งให้กองทัพมุสลิมทำการบแบบประปรายเพื่อถ่วงเวลาในการใช้อุบายที่จะนำทหารฝ่าวงล้อมของข้าศึกให้ได้ จนในที่สุดท่านก็ทำได้สำเร็จ สามารถควบคุมกำลังทั้งหมดกลับคืนสู่มะดีนะฮฺได้
ผลของการสงคราม
สงครามในครั้งนี้ถึงแม้ว่าฝ่ายมุสลิมต้องสูญเสียแม่ทัพและเหล่าทหารหาญหลายคนด้วยกัน แต่ก็ไดสร้างผลในทางบวกแก่ศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก ความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวของเหล่าทหารมุสลิมสร้างความประทับใจแก่แม่ทัพและนายกองของพวกไบแซนไตน์บางท่านเป็นอย่างมาก จนกระทั่งมีแม่ทัพบางท่านเปลี่ยนมารับนับถือศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามสามารถเข้าครองใจชนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในประเทศชาม ประชาชนเป็นพันๆ คนจากเผ่าสุลัยมฺ เผ่าเกาะฮฺซะฟาน เผ่าอับสฺ เผ่าซุบยาน และจากเผ่าฟะซาเราะฮฺ เข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเผ่าต่างๆ เหล่านี้อยู่ภายใต้การปกครองของพวกไบแซนไตน์ จนกล่าวได้ว่าผลของการสงครามมุอฺตะฮฺนั้น ทำให้ประชากรมุสลิมเพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิด

8.การพิชิตนครมักกะฮฺ

สนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นโอกาสให้ชนเผ่าคุซาอะฮฺสามารถประกาศตัวเจริญไมตรีเป็นพันธมิตรกับฝ่ายท่านศาสดามุหัมมัด ซึ่งสร้างความไม่พอใจแก่พวกกุร็อยซฺอย่างเงียบๆ และพยายามหาทางกั่นแกล้งพวกเขาตลอดเวลา ในคืนวันหนึ่ง ปลายปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช พวกกุร็อยซฺร่วมกับชนเผ่าบนูบักร์ซึ่งเป็นพันธมิตรของพวกเขาได้เข้าจู่โจมที่พักของเผ่าคุซาอะ ฮ ฺที่ตำบลวาดิร และได้สังหารคนเหล่านั้นตายไปหลายคน ผู้แทนสี่สิบคนจากเผ่าคุซาอะฮฺ จึงเข้าพบท่านศาสดาและแจ้งข่าวให้ท่านทราบพร้อมกับขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านศาสดาจึงได้ส่งทูตสันติไปเจรจากับฝ่ายกุร็อยช์โดยมีข้อเสนอดังนี้
•  พวกกุร็อยซฺและเผ่าบักร์จะต้องจ่ายค่าทำขวัญให้แก่เผ่าคุซาอะฮฺตามสมควร
•  พวกกุร็อยซฺต้องตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับชนเผ่าบนูบักร์ หรือ
•  ประกาศว่าสนธิสัญญาหุดัยบียะฮฺเป็นโมฆะ
พวกกุร็อยชฺเลือกข้อเสนอที่ 3 คือ ยกเลิกสนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺ ถึงแม้ว่าต่อมาพวกเขาได้สำนึกผิด กระทำไปโดยไม่ได้คิดอย่างรอบคอบซึ่งอาจเกิดผลร้ายต่อพวกเขาในภายหน้า พวกเขาได้ส่งท่านอบูซุฟยาน มาเจรจาต่อรองกับท่านศาสดาเพื่อให้สนธิสัญญาหุดัยบิยะฮฺมีผลใช้บังคับต่อ แต่ก็ถูกท่านศาสดาปฏิเสธ หลังจากอบูซุฟยานเดินทางกลับยังนครมักกะฮฺอย่างผิดหวังแล้ว ท่านนบีได้บอกให้ชาวมุสลิมทั้งหลายเตรียมตัวเดินทางไปยึดนครมักกะฮฺ เพื่อเป็นการลงโทษฝ่ายกุร็อยซฺฐานละเมิดสัญญา
ในเดือนรอมฎอน ปีที่ 8 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ท่านศาสดาได้เคลื่อนทัพซึ่งมีจำนวนพล 10,000 คน ไปยังนครมักกะฮฺ เมื่อชาวมักกะฮฺเห็นกองทัพของฝ่ายมุสลิม ต่างก็ตกใจและเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เพราะว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะต่อสู้และต้านกองกำลังฝ่ายมุสลิมได้ ท่านศาสดาได้ประกาศให้ชาวมักกะฮฺอยู่ในความสงบ ท่านต้องการพิชิตและเข้าสู่นครมักกะฮฺแห่งนี้ โดยสันติไม่มีการนองเลือดแต่อย่างใด และขอให้ทุกคนอยู่ในบ้านของตนเอง หรืออยู่บริเวณลานกะอฺบะฮฺ หรือบริเวณบ้านของอบูซุฟยาน แล้วพวกเขาจะได้รับความปลอดภัยทุกประการ
ชัยชนะที่ฝ่ายมุสลิมได้รับต่อชาวมักกะฮฺในครั้งนี้ นำความปลาบปลื้มปิติยินดีมาสู่พวกมุสลิมเป็นอย่างมาก สิบปีที่พวกเขาได้อพยพไปในครั้งนั้นได้กลับมาสู่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาอย่างอบอุ่น ศาสดาได้พำนักอยู่ที่มักกะฮฺเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ชาวมักกะฮฺต่างก็พากันเข้ามารับนับถือศาสนาอิสลามเป็นจำนวนมาก เมื่อชาวมักกะฮฺเข้ารับอิสลามความขุ่นข้องหมองใจระหว่างกันก็หมดหายไป ถึงแม้ว่าท่านศาสดาและบรรดาสาวกของท่านจะถูกกดขี่ข่มเหงมาตลอดเวลาสิบปีโดยพวกกุร็อยช์ก็ตามแต่ เมื่อท่านเอาชนะได้ท่านก็แสดงแต่ความเมตตาและอภัยโทษให้แก่พวกเขา การประนีประนอมเช่นนี้เป็นนโยบายของท่านศาสดาตลอดมา และการพิชิตมักกะฮฺได้นี้ เป็นการเปิดศักราชใหม่ของอิสลาม

9.การสู่รบที่หุนัยน์ และฏออีฟ

หลังจากพิชิตมักกะฮฺ์ได้แล้ว และประกาศให้การอภัยแก่พวกมักกะฮฺนั้น สามารถเอาชนะบรรดาชาวมักกะฮฺเป็นจำนวนมาก พวกเขาสามารถร่วมชีวิตกับชาวมุสลิมอย่างเท่าเทียมกันเมื่อพวกเขาเข้ารับอิสลาม อย่างไรก็ตามชาวอาหรับเข้ารับอิสลามมี 2 ลักษณะด้วยกัน กล่าวคือ ลักษณะแรกนั้นเข้ารับอิสลามด้วยความศรัทธาอย่างจริงใจ ส่วนลักษณะที่สองเข้ารับอิสลามเพราะเกรงกลัวอำนาจของชาวมุสลิม บรรดาเผ่าต่างๆ ที่อยู่ชานเมืองเมื่อทราบข่าวการยึดเมืองมักกะฮฺ ของชาวมุสลิม ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวว่าชะตากรรมเช่นนี้อาจต้องประสบแก่พวกเขาในภายหน้า ดังนั้นอาหรับเผ่าฮะวาซิน และเผ่าษะกีฟได้ร่วมตัวกันเพื่อที่จะต่อต้านฝ่ายมุสลิม พวกเขาประกาศเป็นศัตรูกับฝ่ายมุสลิมอย่างเปิดเผย หัวหน้าของพวกเขาชื่อว่า มาลิก อิบนุ เอาฟ์ ได้รวบรวมกำลังคนและอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับฝ่ายมุสลิม เมื่อท่านนบีทราบข่าวถึงการเคลื่อนไหวของเผ่าฮะวาซิน และบรรดาพันธมิตรของพวกเขา ท่านนบีจึงมีคำสั่งให้รีบเร่งเตรียมกำลังที่จะโจมตีข้าศึกโดยสามารถรวบรวมรี้พลได้จำนวน 12,000 คน และมีมุสลิมใหม่จากชาวมักกะฮฺร่วมสบทบอีก 2,000 คน ท่านนบีได้เคลื่อนทัพมุ่งสู่สถานที่ที่พวกเผ่าฮะวาซิน และพันธมิตรของพวกเขาตั้งค่ายอยู่ ในระหว่างเดินทัพไปสู่สถานที่พวกเขาอยู่นั้น ต้องผ่านชัยภูมิที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน และต้องผ่านหุบเขาต่างๆ ชัยภูมิเช่นนี้ทำให้ข้าศึกได้เปรียบเหนือฝ่ายมุสลิมเป็นอย่างมาก พวกเขาได้ดักโจมตีกองกำลังมุสลิม ทำให้กองทัพมุสลิมเกิดความโกลาหลอลหม่านอย่างฉับพลัน และแตกกระจัดกระจายกันไป ฝ่ายมุสลิมต้องสูญเสียนักรบเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อบรรดานักรบฝ่ายมุสลิมสามารถตั้งสติได้ พวกเขาได้รวบรวมกำลังใหม่และเข้าโจมตีข้าศึกอย่างไม่คิดชีวิต กองทัพฝ่ายศัตรูต้านการจูโจมของฝ่ายมุสลิมไม่ได้จึงต้องถอยร่นหลบเข้าไปในป้อมปราการในนครฎออีฟอย่างรีบเร่ง ป้อมปราการที่นครฎออีฟเป็นป้อมที่แข็งแรงและมั่นคงมาก ถึงแม้ว่าฝ่ายมุสลิมพยายามโหมโจมตีอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถตีป้อมปราการนั้นให้แตกได้ กองทัพมุสลิมได้ปิดล้อมป้อมเป็นเวลา 20 วัน ก็ไม่มีท่าที่ว่าจะชนะได้ เพราะว่าในป้อมปราการนั้นมีอาวุธยุทโธปกรณ์มากมายและมีเสบียงอาหารที่อยู่ได้อีกนาน ประกอบกับย่างเข้าฤดูกาลของเดือนศักดิ์สิทธิ์ ท่านนบีจึงมีคำสั่งให้ถอยทัพไว้ก่อนโดยที่ยังไม่สามารถบังคับให้ข้าศึกวางอาวุธได้ และท่านประกาศว่าจะทำสงครามกับเผ่าฮะวาซิน และพันธมิตรของพวกเขาใหม่เมื่อหมดฤดูกาลของเดือนศักดิ์สิทธิ์
ในสงครามครั้งนี้ฝ่ายมุสลิมสามารถยึดทรัพย์สินสงครามได้เป็นจำนวนมาก กล่าวคือ สามารถยึดอูฐได้ 24,000 ตัว แพะ 40,000 ตัว และทรัพย์สินมีค่าอีกจำนวนหนึ่ง พร้อมกับสามารถจับเชลยศึกได้อีก 6,000 กว่าคน หลังจากสงครามสิ้นสุดได้ไม่นาน ชนเผ่าฮะวาซินได้ส่งตัวแทนเข้าไปพบกับท่านนบี พวกเขาได้ขออภัยต่อการกระทำของพวกเขา และขอร้องให้ท่านนบีคืนทรัพย์สินสงครามและเชลยศึกของพวกเขาโดยที่พวกเขาพร้อมที่จะรับศาสนาอิสลาม ท่านนบีก็ตกลงและรับข้อเสนอของพวกเขา ต่อมามาลิก อิบนุ เอาฟ์ หัวหน้าเผ่าษะกีฟในฎออีฟก็เดินทางมาพบกับท่านนบีและเข้ารับศาสนาอิสลาม พร้อมกับแจ้งว่าชาวฎออีฟยินดีที่จะรับศาสนาอิสลาม

10.สงครามตะบูค

สงครามนี้เกิดขึ้นในเดือนระญับ ปีที่ 9 แห่งฮิจเราะฮฺศักราช ณ สถานที่แห่งหนึ่งมีชื่อว่า ตะบูก สาเหตุของสงครามกล่าวคือ จักรพรรดิ ฮีราคลิอุส (Heraclius) แห่งโรมันไม่พอใจกับอิทธิผลของศาสนาอิสลามที่ขยายอย่างรวดเร็วในแหลมอาราเบีย พวกเขาได้เตรียมที่จะรุกรานเมืองมะดีนะฮฺ โดยรวบรวมกำลังพล 40,000 กว่าคน เมื่อข่าวนี้ทราบถึงท่านศาสดา ท่านจึงมีคำสั่งให้เตียม กำลังพลซึ่งรวบรวมได้ 30,000 คน โดยที่ท่านนบีนำทัพไปเองสู่สถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าตะบูก เมื่อจักพรรดิฮีราคลิอุสทราบข่าวการนำทัพของท่านนบี ก็รู้สึกตื่นตระหนกและเลิกคิดที่จะบุกมะดีนะฮฺ พร้อมกับถอยทัพกลับไป หลังจากที่ท่านนบีพักอยู่ที่ตะบูคได้สองสามวันท่านก็ยกทัพกลับมะดีนะฮ ฺอย่างปลอดภัย
ผลของสงครามตะบูคชี้ให้เห็นว่ากองทัพอิสลามไม่เคยกลัวที่จะเผชิญหน้าและท้าอำนาจกับจักพรรดิโรมันเลย เมื่อกลับมาจากตะบูคแล้ว ก็ได้มีผู้แทนจากแคว้นใกล้ไกลมาแสดงความจงรักภักดีต่อท่านชาวอาหรับเผ่าแล้วเผ่าเล่าได้เข้ารับนับถืออิสลามเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น