การประกาศและเผยแพร่ศาสนา



การประกาศและเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดามูฮัมหมัด)ศ็อลฯ(
การรับโองการแรก


เมื่ออายุย่างเข้าปีที่ 40 มุหัมมัดมักใช้เวลาส่วนใหญ่คำนึงใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ต่างๆ เพ่งพินิจถึงความจริงของชีวิตและความเป็นไปของโลก ในขณะที่ชาวอาหรับมีชีวิตอย่างป่าเถื่อนและงมงายอยู่กับรูปเคารพของแต่ละเผ่า มุหัมมัดมักจะไปที่ถ้ำในภูเขาฮิรออฺซึ่งอยู่ทางเหนือของมักกะฮฺ ประมาณสามไมล์ และใช้เวลาอยู่ที่นั่นเดือนหนึ่งทุก ๆ ปี เพื่อแสวงหาความสงบ นั่งสำรวมจิต โดยมีคนใช้เอาอาหารและเสบียงไปส่ง อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่ท่านกำลังนั่งอย่างสงบในถ้ำฮิรออฺ ได้มีมะลาอิกะฮฺตนหนึ่งปรากฏตัวเข้ามาหาท่าน ท่านได้เล่าเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า :
" ญิบริลได้มาหาฉัน แล้วกล่าวว่า “( มุหัมมัด ) จงอ่านเถิด ฉันก็ตอบว่า " ฉันอ่านไม่เป็น " เขาได้กอดรัดฉันจนกระทั่งฉันคิดว่าจะตาย หลังจากนั้นเขาก็คลายออก เขาทำอย่างนั้นสามครั้ง แล้วในครั้งที่สี่เขาก็กล่าวว่า “( มุหัมมัด ) จงอ่านเถิด ฉันได้ตอบว่า " ฉันอ่านไม่เป็น " แล้วเขาก็กล่าวนำโองการอัลกุรอานที่ว่า " จงอ่านเถิด ( มุหัมมัด ) ด้วยพระนามแห่งพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงสร้าง พระองค์ทรงสร้างมนุษย์มาจากก้อนเลือด จงอ่านเถิด และพระเจ้าของเจ้าผู้ทรงใจบุญยิ่ง ผู้ทรงสอนด้วยปากกาทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้ … ( อัลกุร อาน ซูเราะฮฺ อัลอะลัก อายะฮฺ 1-5 )” เมื่อท่านนบีได้อ่านแล้วมะลาอิกะฮฺตนนั้นก็ได้หายจากไป
ท่านนบีรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท่านรู้สึกหวาดกลัวจึงรีบกลับบ้านเล่าเหตุการณ์ให้ท่านหญิงเคาะดีญะฮฺฟัง ท่านคิดว่าถูกผีเข้าสิงหรือมีจิตใจไม่ปกติ แต่นางเคาะดีญะฮฺผู้มีจิตใจที่เข้มแข็งยืนยันว่า
 โอ้ลูกของลุงเอ๋ย ท่านจงดีใจและจงยืนหยัดต่อไปเถิด ดิฉันขอสาบานต่อผู้ซึ่งตัวของดิฉันอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์ ดิฉันหวังว่าท่านจะต้องเป็นนบีแห่งประชาชาตินี้ 
และแล้วนางก็พาสามีของนางไปหา  วะเราะเกาะฮฺ บุตรของเนาฟัล ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของนาง ชายผู้นี้เป็นคนที่มีความรู้ในคัมภีร์ของชาวคริสเตียนและยิว เมื่อวะเราะเกาะฮฺฟังรายละเอียดต่างๆ จากนางเคาะดีญะฮฺแล้ว ท่านได้กล่าวขึ้นว่า
 ถ้าหากเรื่องที่เธอเล่าทั้งหมดนั้นเป็นความจริง นี่จะต้องเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างแน่นอน พระเจ้าองค์นี่แหละที่ทรงพูดกับโมเซสที่ภูเขาซีนาย มุหัมมัดจะเป็นศาสดาของชนชาตินี้ จงบอกเขาเถิดว่า จงมีความเข้มแข็ง 
ต่อมาไม่นานนัก มะลีกะฮฺญิบรีลได้เข้ามาหาท่านนบีอีกพร้อมนำโองการใหม่มาโดยกล่าวว่า  โอ้ผู้อยู่ใต้ผ้าคลุม จงลุกขึ้นตักเตือนเถิด จงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า จงทำตัวของเจ้าให้บริสุทธิ์ จงหลีกเลี่ยงความไม่สะอาดทั้งมวล จงอย่าให้เพื่อที่จะได้กลับคืนมา และเพื่อพระเจ้าจงอดทนเถิด … ( อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อัลมุดัซซิร อายะฮฺที่ 1-7) ท่านนบีได้เล่าเรื่องโองการนี้ให้นางเคาะดีญะฮฺฟัง ซึ่งโองการดังกล่าวได้สั่งให้ท่านทำการเผยแพร่ แต่ท่านไม่รู้ว่าจะไปเผยแพร่ให้กับใคร ท่านเคาะดีญะฮฺพยายามปลอบโยน และยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางได้พาสามีของนางไปหาวะเราะเกาะฮฺอีกครั้งหนึ่ง และเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับสามีของนางให้แก่วะเราะเกาะฮฺฟัง ด้วยความรอบรู้ของวะเราะเกาะฮฺ ท่านได้กล่าวว่า
 ขอสาบานว่าท่านคือศาสดาของชนชาตินี้ ท่านจะถูกทำร้าย ท่านจะถูกด่า ถูกจองล้างจองผลาญ และถ้าฉันยังมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้น ฉันจะช่วยมุหัมมัดเผยแพร่ศาสนา จะช่วยงานของพระเจ้าเคียงคู่กับศาสดาของพระองค์ และพระเจ้าทรงทราบดีถึงเจตนารมณ์ของฉัน 
จากคำเตือนของวะเราะเกาะฮฺทำให้ท่านนบีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก เพราะการเผยแพร่สาส์นของท่านนั้นจะต้องเผชิญหน้ากับชาวกุร็อยซฺอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การเรียกร้องเชิญชวนสู่อิสลาม


มุหัมมัดได้รับมอบหน้าที่เป็นศาสดาผู้ประกาศศาสนาเมื่ออายุได้สี่สิบปี ท่านเริ่มเทศนาคำสอนของอิสลามในหมู่ประชาชนในเมืองมักกะฮฺโดยการเชิญชวนอย่างลับ ๆ ท่านเริ่มการชักชวนและเผยแพร่สาส์นอิสลามในหมู่ญาติพี่น้องของท่านก่อน แล้วสู่เพื่อนสนิทมิตรสหาย ตลอดจนประชาชนชาวมักกะฮฺในภาพรวม คำสอนของท่านเน้นในเรื่องความเป็นหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า ( เตาฮีด ) อันเป็นหลักสำคัญของศาสนาอิสลาม ท่านต่อต้านและเรียกร้องให้ประชาชนเลิกบูชารูปปั้น รูปเคารพ และเจว็ดต่างๆ ซึ่งในสมัยนั้นชาวมักกะฮฺส่วนใหญ่กราบไหว้บูชารูปปั้นและเจว็ดต่างๆ แม้แต่ในรอบๆ วิหารกะบะฮก็เต็มไปด้วยรูปบูชามากกว่า 300 องค์ ภรรยาของท่านคือ นางเคาะดีญะฮ เป็นคนแรกรับการชักชวนของท่าน กล่าวกันว่านอกจากท่านหญิงเคาะดีญะฮแล้วบุคคลที่เข้ารับอิสลามก่อนใครอื่นมีด้วยกัน 3 ท่าน คนแรกคือ ท่านอะลี บุตรอะบีฏอลิบ ซึ่งเป็นบุตรลุงที่ท่านนบีรับมาอุปการะ ท่านอะลีถือว่าเป็นบุคคลแรกรับอิสลามในกลุ่มเยาวชน คนที่สองคือท่านซัยด บุตรของฮาริษะฮ ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของท่านนบี และถือว่าเป็นบุคคลแรกรับอิสลามในกลุ่มทาส ส่วนบุคคลที่สามคือ ท่านอบูบักร บุตรของกุฮาฟะฮ ท่านผู้นี้มีสภาพแตกต่างกับสองท่านที่แล้ว เพราะท่านมิได้เป็นเครือญาติใกล้ชิดกับท่านนบีและมิได้อยู่ในวัยเด็กเหมือนสองท่านแรก หากแต่ท่านเป็นพ่อค้าที่มีสติปัญญาความคิดที่หลักแหลม ท่านอบูบักรถือว่าเป็นบุคคลแรกรับอิสลามในกลุ่มผู้ใหญ่หรือบุคคลทั่วไป
หลังจากบุคคลทั้งสามแล้ว มีสาวกท่านอื่นๆ ทยอยเข้ารับอิสลามกัน เช่น ท่านอุสมาน อิบนุอัฟฟาน , อัซซุเบร อิบนุลเอาวาม , อับดุลเราะฮฺมาน อิบนุเอาฟฺ , สะอฺดุบนุอะบีวักก็อส , ฏ็อลฮะ อิบนุอับดิลลาฮฺ , อะบูอุบัยดะฮฺ , อามิร อิบนุลญัรรอฮฺ , อัลอัรกอม อิบนุ อะบิล อัรกอม เป็นต้น ท่านนบีและบรรดาสาวกได้รวมตัวกันอย่างลับๆและจัดทำศูนย์เผยแพร่ศาสนาอิสลามที่บ้านของอัลอัรกอม อิบนุ อัรกอม เมื่อเวลาผ่านไป จำนวนผู้เข้ารับอิสลามก็เพิ่มมากขึ้น ภายในเวลาสามหรือสี่ปีก็ได้มีผู้เข้ารับศาสนาอิสลามเกือบสี่สิบคน อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 ปีแรกนั้นมุสลิมใหม่ทุกคนยังคงปกปิดตัวเองอยู่
หลังจากสามปีผ่านพ้นไป ท่านนบีได้รับคำสั่งจากพระเจ้าให้ประกาศศาสนาอย่างเปิดเผย ท่านนบีเริ่มกล่าวโจมตีบรรดาเทวรูปและเจว็ดต่างๆ อันเป็นที่สักการะบูชาของชาวมักกะฮฺ อย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย ซึ่งการกระทำเช่นนี้สำหรับชาวกุร็อยซฺแล้วนับว่ารุนแรงมาก จนทำให้พวกเขาเกลียดชังและประกาศเป็นศัตรูกับท่านนบีอย่างเปิดเผย ก่อนหน้านี้ พวกกุร็อยซฺไม่ค่อยถือเรื่องการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบีเป็นเรื่องจริงจังมากนัก นอกจากจะเย้ยหยันท่านเล่นเท่านั้น แต่เมื่อเริ่มมีผู้คนหันมานับถือมากขึ้น พวกกุร็อยซฺจึงคิดวางแผนการต่อสู้อย่างจริงจัง เพราะชาวกุร็อยซฺเกรงกลัวว่า หากอิสลามได้รับการยอมรับ นั้นก็หมายความว่า ศาสนาแห่งบรรพบุรุษ ที่มีการกราบไหว้บูชารูปเจว็ด ก็จะต้องถูกทำลาย ดังนั้นพวกเขาจึงรวมตัวกันขัดขวางการเผยแพร่สัจธรรมของท่านนบีอย่างสุดความสามารถ ในขณะที่ท่านนบีเผยแพร่ศาสนานั้น ลุงของท่านคือ อะบูฎอลิบ ถึงแม้ว่ามิได้เข้ารับศาสนาอิสลาม แต่ก็ปกป้องหลานรักของท่านจากการถูกทำร้ายจากชาวกุร็อยซฺ
การดื้อรั้นและการต่อต้านของพวกกุร็อยซได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อพวกเขาเห็นท่านนบีและบรรดาสานุศิษย์ของท่านยังเด็ดเดี่ยวในคำสอนศาสนาอิสลาม จนกระทั่งพวกเขาใช้มารตร การเด็ดขาดโดยการจับกักขังและทรมานสานุศิษย์ของท่านนบีที่เป็นพวกทาส กลุ่มคนอ่อนแอ และคนยากจนไร้ที่พึ่งพิง บุคคลเหล่านี้ถูกจับไปทรมานให้ตากแดดอันร้อนระอุและให้นอนบนผืนทรายหรือที่เนินหินที่ร้อนจัด ถูกสั่งให้อดอาหาร และน้ำดื่ม ตลอดจนถูกทารุณกรรมอย่างไร้ความเป็นมนุษย์ ดังที่พวกเขากระทำต่อท่านบิลาลและสาวกท่านอื่นๆ จนกระทั่งสาวกบางท่านทนต่อการทารุณกรรมเหล่านี้ไม่ไหวจนต้องจบชีวิตไป อย่างเช่นครอบครัวของอัมมาร บิน ยาสิร เป็นต้น

การอพยพไปยังอบิสิเนีย)ประเทศเอธิโอเปีย(ครั้งที่ 1


เนื่องจากชาวมุสลิมถูกทำร้ายและประหัตประหารเช่นนี้ ท่านนบีจึงได้แนะนำให้พวกเขาไปหาที่พึ่งในดินแดนอื่น ในสมัยนั้นอบิสสิเนียเป็นที่รู้จักดีของชาวมักกะฮฺในฐานะที่เป็นตลาดสินค้าของอารเบีย ในเดือนที่ 7 ของปีที่ 5 ของการเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดา ชาวมุสลิมผู้ชาย 11 คน และผู้หญิง 4 คน รวมทั้งท่านอุษมาน บุตรอัฟฟานและภรรยาของท่านได้เดินทางไปยังเมืองอบิสิเนีย ซึ่งในเวลานั้น กษัตริย์แห่งอบิสิเนียคือ นะญาซี ได้ต้อนรับชนมุสลิมเหล่านี้ด้วยอัธยาศัยไมตรี
เมื่อบรรดาหัวหน้าชาวมักกะฮฺรู้เรื่องถึงการอพยพของชาวมุสลิมนี้ พวกเขาได้สั่งให้เหล่าทหารพวกเขาออกติดตามไป แต่ก็ไม่ทัน พวกเขาก็ไม่ละความพยายาม ในฐานะที่ประเทศอบิสิเนียมีมิตรไมตรีกับนครมักกะฮฺ พวกหัวหน้าชาวมักกะฮฺจึงส่งทูตไปเข้าเฝ้ากษัตริย์อบิสิเนียเพื่อขอให้พระองค์ทรงขับพวกมุสลิมออกจากอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกและฟังเหตุผลทั้งสองฝ่าย และในที่สุดพระองค์ทรงประทับใจในอุดมการณ์ของฝ่ายชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก จึงทรงอนุญาตให้ชาวมุสลิมพำนักอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ได้อย่างสงบ ทูตของหัวหน้าชาวมักกะฮฺจึงต้องกลับไปยังมักกะฮฺด้วยมือเปล่าอย่างผิดหวัง

ผลที่สำคัญที่ได้จากการอพยพในครั้งนี้ก็คือ ทำให้ชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮฺมีกำลังใจมากขึ้นเมื่อได้รู้ว่า ขณะนี้ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่พวกตนสามารถหลบไปพึ่งอาศัยให้พ้นจากการประหัตประหารของชาวมักกะฮฺได้ ในที่สุดเหตุการณ์ครั้งนี้ก่อให้เกิดความคิดที่จะทำการอพพยโยกย้ายชาวมุสลิมจากมักกะฮฺไปยังเมืองมะดีนะฮในเวลาต่อไป ในขณะเดียวกัน ชาวมุสลิมในมักกะฮฺเพิ่มความลำบากยากแค้นยิ่งขึ้นอันเนื่องมาจากชาวมักกะฮฺเสียหน้าและได้รับความผิดหวังจากกษัตริย์อบิสิเนีย จึงเพิ่มความโกรธแค้นต่อชาวมุสลิมมากขึ้นเป็นทวีคูณ

การอพยพไปยังอบิสิเนียครั้งที่ 2

หลังจากที่ชาวมุสลิมพำนักอยู่ที่อบิสิเนียได้สองเดือนและทราบข่าวว่าชาวมักกะฮฺได้ยกเลิกการกดดันชาวมุสลิมแล้ว ผู้อพยพจึงพากันกลับมายังมักกะฮฺ เมื่อชาวกุร็อยซมักกะฮฺเห็นชาวมุสลิมก็ยิ่งรู้สึกริษยาในความสำเร็จของอิสลามมากขึ้น จึงเริ่มทำการประหัตประหารพวกมุสลิมหนักมือยิ่งขึ้นอีก ท่านนบีจึงแนะนำให้บรรดาสาวกของท่านหลบภัยไปอยู่ที่อบิสิเนียอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้มีผู้อพยพหลบหนีไปจำนวนถึง 101 คน เป็นสตรี 10 คน
ฝ่ายกุร็อยซฺเริ่มตกใจในความสำเร็จอย่างรวดเร็วของท่านนบี พวกเขาได้ส่งตัวแทนไปหาท่านอบูฎอลิบซึ่งเป็นลุงของท่านนบี ขอให้ท่านเจรจากับท่านนบีให้ยอมยกเลิกการเผยแพร่ศาสนาอิสลามนี้ โดยที่พวกเขายอมที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านนบีต้องการ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องอำนาจยศฐาบรรดาศักดิ์ เหล่านารีที่แสนสวย หรือทรัพย์สินเงินทอง ท่านนบีได้ตอบแก่ท่านอบูฎอลิบด้วยเสียงที่หนักแน่นไว้ว่า
โอ้ท่านลุงของฉัน ถึงแม้จะเอาดวงอาทิตย์มาวางในมือขวาของฉัน และเอาดวงจันทร์มาวางบนมือซ้ายก็ตาม ฉันก็จะไม่ขอเลิกภารกิจของฉันอันนี้
ในปีที่หกแห่งการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี ท่านฮัมซะฮซึ่งเป็นลุงของท่านนบีและเคยดื่มนมร่วมแม่เดียวกันกับท่านนบีเข้ารับอิสลาม และท่านอุมัร บุตรค็อฎฎอบ ก็เข้ารับอิสลาม ซึ่งนับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของท่านนบี เพราะทั้งสองเป็นคนที่กล้าหาญและมีอิทธิพลในมักกะฮฺพอสมควร เมื่อคำสอนของท่านนบีได้แพร่ขยายและมีผู้เข้ารับอิสลามมากขึ้นทุกวัน ชาวกุร็อยซมักกะฮฺจึงรวมตัวกันต่อต้านเผ่าฮาซิม ซึ่งเป็นฝ่ายของท่านนบีโดยการคว่ำบาตรและตัดความสัมพันธ์กับเผ่าอื่นๆ พวกเขาได้ห้ามทำการซื้อขายปัจจัยยังชีพกับเผ่าฮาซิม ทำให้ท่านนบีและเผ่าฮาซิมตกอยู่ในสภาพที่ขาดแคลนปัจจัยที่จำเป็นในการดำรงชีวิตและตกอยู่ในสภาพเช่นนี้นานถึงสามปี ท่านนบีถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง แต่ท่านก็ไม่เคยท้อและไม่เคยหมดความไว้วางใจในพระเจ้าเลย

การสิ้นชีวิตของท่านอบูฏอลิบและท่านหญิงเคาะดีญะฮ์

และในเวลานี้เองท่านก็ได้รับข่าวร้าย ข่าวการสิ้นชีวิตของนางเคาะดีญะฮฺ และท่านอบูฏอลิบอันเป็นปีที่สิบแห่งการเผยแพร่ศาสนาของท่านศาสดา และถือว่าเป็นปีแห่งความโศกเศร้า นางเคาะดีญะฮฺภรรยาผู้ประเสริฐของท่าน ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนให้กำลังใจด้วยความรักความเห็นใจ เคยเป็นเพื่อนที่คอยปลอบประโลมใจในยามมีทุกข์กับท่านรวมถึงยี่สิบห้าปี บัดนี้นางก็ลาจากท่านไปแล้ว และการสูญเสียอบูฏอลิบไปก็เท่ากับท่านเสียผู้ปกป้องคุ้มครองไปเสียแล้ว อบูฎอลิบเสียชีวิตอายุได้ประมาณ 80 ปี การสูญเสียทั้งสองทำให้สถานการณ์ระหว่างพวกมุสลิมกับพวกกุร็อยซฺเลวร้ายยิ่งขึ้น การจอมผลาญ ประหัตประหารของพวกศัตรูก็รุนแรงขึ้นทุกวัน แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่ท้อและไม่เคยคิดที่จะละทิ้งความพยายาม

การเผยแพร่ศาสนาที่เมืองฏออีฟและผู้แสวงบุญ


ศาสดามุหัมมัดตระหนักดีว่า ท่านไม่อาจจะทนอยู่ในมักกะฮฺต่อไปได้หลังจากอบูฏอลิบซึ่งเป็นลุงและเคาะดีญะฮฺภรรยาของท่านได้สิ้นชีวิตไปแล้ว และหลังจากที่พวกกุร็อยชมักกะฮได้บีบคั้นท่านอย่างหนักหน่วง พวกกุร็อยชฺจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะหยุดการเผยแพร่ศาสนาของท่านให้ได้ ท่านจึงคิดจะเดินทางออกไปเผยแพร่ศาสนาอิสลามนอกนครมักกกะฮฺ ท่านเริ่มต้นด้วยการไปเยือนชนเผ่าต่าง ๆ ท่านพยายามเทศนาหลักคำสอนของศาสนาใหม่ให้แก่ชนเหล่านั้นได้รับทราบ ซึ่งบางเผ่าก็สนใจในคำสอนของท่าน บางเผ่าก็หาว่าท่านเสียสติ ระยะนั้นท่านต้องเหน็ดเหนื่อยมาก แต่ท่านยังมีความมั่นคงในอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงระยะนี้จะมีเสียงวิพากวิจารณ์ถึงตัวท่านในทางไม่ดีอยู่ตลอด แต่ท่านก็อดทนไม่โต้ตอบกับเสียงวิจารณ์เหล่านั้น
ศาสดามุหัมมัดต้องเผชิญกับเหตุการณ์ครั้งสำคัญที่สุด และถูกกลั่นแกล้งอย่างหนักหน่วงในขณะที่ท่านเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาที่เมืองฏออีฟเพื่อเชิญชวนให้ชนชั้นปกครองของเมืองนี้ศรัทธาต่อเอกภาพของพระเจ้า เรียกร้องให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว พวกเขามิใช่เพียงไม่ยอมรับ ยังพูดจาถากถางท่านด้วยคำพูดที่หยาบคาย พร้อมทั้งโห่ไล่ท่านให้พ้นจากที่นั่น ประชาชนบางกลุ่มขว้างปาท่านด้วยก้อนหิน จนศีรษะแตกเลือดโทรมกาย ท่านยืนทอดอาลัยต่อความหยาบคายของพวกฏออีฟด้วยหัวใจที่อ่อนระโหยพร้อมทั้งขอให้พระเจ้ายกโทษให้ชนกลุ่มนี้จากความโง่เขลาที่ได้ปฏิบัติต่อท่าน
หลังจากท่านกลับมาจากฏออีฟแล้ว ก็ได้เริ่มสั่งสอนเทศนาแก่ผู้ที่เดินทางมาแสวงบุญ ณ วิหารกะอบะฮฺ ซึ่งส่วนมากเป็นผู้แทนจากเผ่าต่าง ๆ ของชาวอาหรับ ท่านได้อธิบายถึงหลักการของศาสนาอิสลามให้ทราบว่า ข้อเท็จจริงศาสนานี้เกี่ยวข้องกับศาสนาของศาสดาอิสมาอีล ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของพวกอาหรับ หลายเผ่ารับฟังด้วยความสนใจต่อคำสอนของท่าน แต่ขอศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมอีก มีอยู่หลายครั้งที่พวกกุร็อยชได้แอบส่งผู้แทนของตนเข้าปะปนไปอยู่ร่วมพิธีกับผู้แสวงบุญ และคอยเตือนให้สติผู้นำเผ่าเหล่านั้นไม่ให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลไปกับคำเชิญชวนของมุหัมมัด พวกเขาพยายามใส่ไคล้ว่ามุหัมมัดเป็นคนเสียสติ เป็นนักมายากลใช้เวทย์มนต์คาถา เพื่อหลอกลวงชาวอาหรับ เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่ว่า เมื่อพวกกุร็อยชฺยุยงใส่ไคล้หนักหน่วงเท่าใด อาหรับเ ผ ่าต่าง ๆ และผู้แสวงบุญก็ยิ่งอยากรู้จักมุหัมมัดมากขึ้น เพื่อต้องการพิสูจน์คำกล่าวหาของพวกกุร็อยชฺว่ามีความจริงเพียงใด ดังนั้นแทนที่มุหัมมัดจะไปหาพวกเขา พวกนั้นกลับขวนขวาย อยากพบท่านศาสดามากขึ้น และเมื่อมาได้ยิน ได้ฟังแล้ว พวกยัษริบบางกลุ่มได้เกิดความเลื่อมใสขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ 11 ของการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี นักแสวงบุญจากเมืองยัษริบ ( มะดีนะฮฺ ) จากเผ่าค็อซร็อจญ์จำนวน 6 คน ตอบรับการเชิญชวนของท่าน ความหวังในการเผยแพร่ศาสนาเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง

สนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺฉบับแรก


ในขณะที่หนึ่งปีผ่านไป ตรงกับปีที่ 12 แห่งการเผยแพร่ศาสนาของท่านนบี เดือนอันศักดิ์สิทธิ์และฤดูกาลแห่งการแสวงบุญกลับมาถึง ผู้แสวงบุญจากเมืองยัษริบจำนวน 12 เข้าพบท่านศาสดาที่ภูเขาอัลอะเกาะบะฮฺ และได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านด้วยสนธิสัญญาที่เรียกว่า  สนธิสัญญาอัลอะเกาะบะฮฺฉบับแรก ในสนธิสัญญานี้พวกเขาตกลงกันที่จะยึดมั่นในเรื่องเอกภาพของพระเจ้าโดยไม่กราบไหว้รูปเคารพ จะไม่ลักขโมย หรือล่วงประเวณี จะไม่ฆ่าลูกๆ ของตน หรือไม่ทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ และจะต้องยอมรับคำบัญชาของพระเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น พวกผู้แทนจากเมืองยัษริบเหล่านี้ก็ยินดีรับฟังตามเงื่อนไขดังกล่าว ในตอนขากลับไปยังเมืองยัษริบนั้น ศาสดามุหัมมัดได้ส่งมุสอับ อิบนุ อุมัยรฺ ไปกับพวกเขาด้วย เพื่อสอนกุรฺอานและหลักคำสอนของอิสลามให้คนเหล่านั้น หลังจากสนธิสัญญานี้แล้ว อิสลามจึงได้เริ่มแพร่หลายไปในเมืองยัษริบอย่างรวดเร็ว มุสอับอาศัยอยู่กับบรรดามุสลิมของเผ่าเอาสฺ และค็อซร็อจญ์ และได้สอนศาสนาแห่งพระผู้เป็นเจ้าและการเปิดเผยสัจธรรมให้พวกเขา จำนวนมุสลิมในเมืองยัษริบได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดือนศักดิ์สิทธิ์หวนกลับมา มุสอับก็เดินทางมายังนครมักกะฮฺและรายงานผลความก้าวหน้าในเรื่องพลังอำนาจและการผนึกกำลังของมุสลิมในเมืองมะดีนะฮฺให้ท่านศาสดาฟังและได้แจ้งแก่ท่านด้วยว่าคนเหล่านั้นจะมาทำการแสวงบุญในฤดูกาลนี้เป็นจำนวนมากกว่าที่เคยเป็นมา


สนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺครั้งที่ 2


ปี ค . ศ . 622 ได้มีจำนวนผู้แสวงบุญจากเมืองยัษริบจำนวนมาก คือบุรุษเจ็ดสิบสามคนและสตรีสองคน เมื่อศาสดามุหัมมัดได้ทราบข่าวนี้ ท่านก็คิดจะทำสนธิสัญญาอีกฉบับหนึ่งกับพวกเขาซึ่งนอกจากคำสั่งสอนของอิสลามอย่างสุภาพอ่อนโยนและสอนให้อดทนแล้ว ท่านต้องการทำสัญญาเรียกร้องให้พวกเขาพร้อมที่จะเสียสละในการปกป้องภยันตรายต่างๆ และโต้ตอบการประทุษร้ายและการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นแก่ท่านนบีและชาวมุสลิม ศาสดามุหัมมัดจึงได้ติดต่ออย่างลับ ๆ กับพวกหัวหน้ากลุ่มนั้นและได้ทราบว่าพวกเขาก็เตรียมตัวไว้อย่างดีแล้วที่จะทำงานเช่นนั้น พวกเขาตกลงที่จะไปพบกันที่เขาอัลอะเกาะบะฮฺในตอนกลางคืนของวันที่สองแห่งการแสวงบุญ มุสลิมจากเมืองยัษริบเก็บการนัดพบนั้นไว้เป็นความลับ มิให้แพร่งพรายให้แก่ผู้ไม่ศรัทธาในเผ่าของพวกเขาเอง และชาวกุร็อยซฺทราบ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็มาพบกับท่านศาสดาตามที่นัดไว้โดยลอบมาในความมืดยามค่ำคืน เมื่อพวกเขามาถึงอัลอะเกาะบะฮฺทั้งชายและหญิงก็ขึ้นไปบนภูเขาและรอท่านศาสดาอยู่ที่นั่น
ศาสดามุหัมมัดมาถึงพร้อมด้วยลุงของท่านคืออัลอับบาส บุตร อับดุลมุฏเฏาะลิบ อัลอับบาส ซึ่งตอนนั้นยังมิได้เปลี่ยนมารับอิสลาม แต่ด้วยความเป็นห่วงหลานชายจึงติดตามมาด้วย สัญญาอัลอะเกาะบะฮฺครั้งนี้เรียกว่า  สนธิสัญญาอัลอะเกะบะฮฺครั้งที่สอง ข้อความที่สำคัญในสัญญาครั้งนี้คือ กลุ่มตัวแทนจากเมืองยัษริบนี้ สัญญาที่ปกป้องศาสดามุหัมมัด และจะกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับการปกป้องภรรยาและลูกๆ ของพวกเขาเอง การทำสัญญาของพวกยัษริบในครั้งนี้มี อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ อัลบารออฺ อิบนุ มุอฺรูร เข้ารับอิสลามหลังจากที่มีการทำสนธิสัญญาอะเกาะบะฮฺฉบับแรก
ข่าวนี้เมื่อทราบถึงพวกกุร็อยซฺมักกะฮฺ พวกเขารู้สึกไม่พอใจทันที่ พวกเขาได้พากันมาหาหัวหน้าของเผ่าค็อซร็อจญ์ ณ ที่พัก แต่ฝ่ายมุสลิมก็เงียบเสีย ทำให้พวกกุร็อยซฺไม่สามารถที่จะจับผิดได้ เพราะไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้นพวกยัษริบจึงรีบกลับเมืองก่อนที่พวกกุร็อยซฺจะหาหลักฐานได้ เมื่อพวกกุร็อยซฺรู้ความจริง พวกเขาจึงรีบตามไป แต่ก็ไม่ทัน คงจับได้ชาวยัษริบเพียงคนเดียว คือ สะอฺด์ อิบนุ อุบาดะฮฺ เขาถูกใส่โซ่ตรวนและทรมาน จนกระทั่ง จูเบร อิบนุ มุตอัม อิบนุ อดียะฮฺ และฮารีษ อิบนุ อุมัยยะฮฺ ต้องไปขอถ่ายตัวเขาด้วยเงินจำนวนหนึ่งเพื่อให้พ้นโทษ
สนธิสัญญาทำให้ท่านนบีมีความหวังและเป็นการเปิดประตูสู่ชัยชนะ ส่วนพวกกุร็อยซฺมีความกลัวและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก พวกเขาคิดว่าถ้าขบวนการนี้ยังไม่ถูกทำลายอย่างถอนรากถอนโคน อนาคตของพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย ชัยชนะของมุหัมมัดอาจเกิดขึ้น พวกเจาจึงวางแผนใช้มารตราการขั้นเด็ดขาดกับมุหัมมัดและชาวมุสลิม ท่านนบีก็รู้ดีว่าการนองเลือดระหว่างพวกกุร็อยซฺกับชาวมุสลิมเห็นที่จะไม่มีทางหลีกพ้น ท่านจึงสั่งให้มิตรสหายตลอดจนสาวกของท่านอพยพไปยังเมืองยัษริบ มุสลิมจึงเริ่มอพยพไปทีละคนทีละกลุ่ม บางครั้งก็เป็นกลุ่มเล็กๆ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้พวกกุร็อยซเกิดความสงสัย อย่างไรก็ตามบางคนที่จับได้ ก็ถูกทรมานไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น