การอพยพสู่มดีนะฮ์



การอพยพสู่มดีนะฮ์)ฮิจเราะฮ์(

มักกะฮฺเป็นสถานที่แห้งแล้งเต็มไปด้วยเนินเขา สภาพทางภูมิศาสตร์นับว่ามีอิทธิพลต่อผู้คนในเมืองเป็นอย่างมากทีเดียว ชาวมักกะฮฺมักเป็นคนอารมณ์ร้ายและไม่ค่อยมีความคิดที่ลึกซึ้ง ตรงกันข้ามยัษริบเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์มีพืชผลไม้มากชนิด ดินฟ้าอากาศ ก็ไม่ทารุณเหมือนมักกะฮฺ ผู้คนจึงมีจิตใจอ่อนโยน มีความเกรงใจและช่างคิด เพราะฉะนั้นในระยะต้นของการเผยแพร่อิสลามเมืองมะดีนะฮฺจึงเป็นที่ ๆ เหมาะสมมากกว่ามักกะฮฺมาก ในมะดีนะฮฺไม่มีพวกนักบวชคอยต่อต้านความเจริญเติบโตของอิสลามเหมือนในมักกะฮฺ ฉะนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะเผยแพร่คำสอนศาสนาอิสลามมากกว่าที่อื่น นอกจากนี้ในเมืองนี้ยังมีชาวยิวอาศัยอยู่ด้วย พวกยิวถือว่ามุหัมมัดเป็นผู้สนับสนุนคัมภีร์ของพวกตน ฉะนั้นพวกเขาจึงรอต้อนรับท่านศาสดาด้วยความกระตือรือร้น
หลังจากที่ท่านศาสดาได้สั่งสานุศิษย์ของท่านให้โยกย้าย อพยพไปอยู่ที่เมืองยัษริบแล้ว ประกอบกับทราบข่าวว่าพวกกุร็อยซฺกำลังวางแผนจะสังหารท่านนบีอย่างแน่นอน และในเวลาเดียวกันนั้น ท่านนบีได้รับคำบัญชาจากพระเจ้าให้เดินทางไปพร้อมกับท่านอบูบักรฺ ท่านนบีได้หลบออกจากบ้านในเวลากลางคืน โดยให้ท่านอาลี บุตร อบูฎอลิบ นอนอยู่บนเตียงของท่าน ภายใต้สถานการณ์ที่คนหนุ่มจากเผ่าต่างๆ ได้ล้อมรอบบ้านท่านเพื่อรอการสังหารท่าน ท่านได้หลบหนีออกไปกับอบูบักร์โดยไปหลบอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองมักกะฮฺนัก โดยไม่มีใครเห็น นอกจากอับดุลลอฮฺ ลูกของอบูบักรฺ กับน้องสาวสองคนของท่าน คือ อาอิชะฮฺ และอัสมา ทั้งสองได้ซ่อนอยู่ในถ้ำเป็นเวลาสามวัน ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกกุร็อยซฺตามตัวไม่พบ ถึงแม้ว่าพวกเขาได้มาถึงปากถ้ำแล้วก็ตาม เพราะว่าหน้าปากถ้ำมีใยแมงมุมและมีนกพิราบมาสร้างรังอยู่ โดยที่พวกเขานึกไม่ถึงว่าท่านนบีอยู่ในถ้ำนั้น
เมื่อเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว ท่านนบีและอบูบักรฺจึงออกเดินทางต่อไป โดยมีคนใช้ชื่อว่า อับดุลลอฮฺ อินุ อุรัยกิต เป็นผู้นำทาง ซึ่งได้นำทางสองไปทางตอนใต้ของมักกะฮฺ แล้วออกเดินทางไปอย่างระมัดระวังตามเส้นทางที่ไม่มีผู้คนใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พบกับพวกกุร็อยซฺ ในวันที่ 2 เดือนร็อบบิลอุลอัววัล ตรงกับเดือนกรกฎาคม ค . ศ .622 ท่านนบีมาถึงที่เมืองกุบาอฺ ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองยัษริบประมาณ 6 ไมล์ ณ ที่นั้นท่านนบีได้สร้างมัสยิด ซึ่งมีชื่อว่า มัสยิดกุบาอฺ และถือว่าเป็นมัสยิดแห่งแรกในอิสลาม ท่านนบีได้พักที่นั้นเป็นเวลาประมาณสองอาทิตย์ จึงเดินทางเข้าเมืองยัษริบในวันศุกร์โดยมีชาวเมืองยัษริบออกมาต้อนรับเป็นจำนวนมาก
เหตุการณ์ครั้งนี้เรียกว่าการอพยพหรือ ฮิจญ์เราะฮฺอันเป็นการเริ่มต้นศักราชของชาวมุสลิม
นับแต่นั้นมา เวลาแห่งการประหัตประหารชาวมุสลิมในเมืองมักกะฮฺก็เป็นอันสิ้นสุดลง และยุคแห่งเมืองมะดีนะฮฺก็เริ่มต้นขึ้น ภาระกิจของท่านศาสดายังไม่สำเร็จเสร็จสิ้นแต่ความสำเร็จก็เริ่มขึ้นแล้วที่มะดีนะฮฺ ท่านศาสดาไม่เพียงแต่ได้รับการต้อนรับอย่างมีเกียรติเท่านั้น แต่ยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของชุมชนอีกด้วย สถานะและอำนาจของท่านศาสดาก็เพิ่มขึ้น และอิสลามก็ได้ตั้งหลักปักฐานมั่นคงขึ้นทุกวัน ณ เมืองนี้ท่านศาสดามีอิสรภาพที่จะเทศนาคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ท่ามกลางผู้หลงผิด ในที่สุดก็หันมามีศรัทธาในศาสนาใหม่นี้มากขึ้นและได้แผ่ขยายออกไปเรื่อย ๆ


ศาสดามูฮัมหมัด ณ เมือง มาดีนะฮ์
ประชาชนมาดีนะฮ์

เมื่อท่านศาสดาได้มาอยู่ที่เมืองยัษริบแล้ว เมืองนั้นก็ได้รับขนานนามใหม่เป็นมะดีนะตุนนะบี หรือเมืองแห่งศาสดา ภาระกิจแรกที่ท่านศาสดาทำที่เมืองนี้ก็คือสร้างมัสญิดขึ้นหนึ่งหลังซึ่งท่านได้ลงมือทำงานเองเหมือนกรรมกรคนหนึ่ง มัสญิดหลังนี้เป็นสถานที่ทำการละหมาดและศูนย์ร่วมการเผยแพร่ศาสนาอิสลาม
ในสมัยนั้น มะดีนะฮฺประกอบด้วยกลุ่มคน เผ่าพันธ์หลายกลุ่มด้วยกัน นอกจากเผ่าเอาสฺ และค็อซร็อจญ์แล้ว ยังมีเผ่าพันธ์พวกยิวจำนวนหนึ่ง เช่น เผ่าก็อยนุกออฺ เผ่ากูรอยเซาะฮฺ เผ่านะฎีร และเผ่าค็อยบัร ท่านนบีรู้ดีว่าความหลากหลายในเผ่าพันธ์นั้น อาจสร้างความวุนวายเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างชาวยิวคงไม่ยิ่งดีนักที่เห็นความสำเร็จของศาสนาอิสลาม เพราะชาวยิวมักจะพูดเสมอว่าตนเป็นประชาชาติที่พระเจ้าทรงคัดเลือกและมีความประเสริฐกว่าประชาชาติอื่นๆ ในโลก ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ท่านนบีได้รีบสร้างความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งเดียวกันในหมู่มุสลิม โดยใช้ศาสนาเป็นตัวกระตุ้น สร้างความเป็นเอกภาพและภารดรภาพเกิดขึ้นในสังคมมุสลิมมะดีนะฮฺ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างชาวมุสลิมที่อพยพมากมักกะฮฺ หรือที่เรียกว่า กลุ่มมุฮาญิรีน ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัย และชาวมุสลิมพื้นเมือง หรือที่เรียกว่า กลุ่มอันศอร ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือ
ชาวอันศอรนอกจากช่วยเหลือในยามคับขันแล้ว คนเหล่านี้ยังเสียสละเงินทอง จัดหาบ้านเรือนและทรัพย์สมบัติให้แก่ชาวมุฮาญิรีน ความเป็นพี่น้องระหว่างชาวมุฮาญิรีนกับชาวอันศอรนั้นได้เป็นไปอย่างลึกซึ้ง กระทั่งยอมหย่าภรรยาตนเองเพื่อมอบให้แก่ชาวมุฮาญิรีน และสามารถรับมรดกของกันและกันได้เวลาคนหนึ่งคนใดสิ้นชีวิตไป เมื่ออิสลามเจริญรุ่งเรืองขึ้นจนเป็นกลุ่มอำนาจที่เป็นเอกเทศแยกออกไป บรรดาผู้ที่ถือรูปเคารพทั้งหลายที่ยังไม่รับอิสลามต่างก็พากันอิจฉาริษยา มีบางคนที่ทำที่เป็นเข้ารับอิสลามแต่ภายในนั้นตั้งใจที่จะต่อต้านท่านศาสดาอยู่อย่างลับ ๆ พวกนี้เรียกว่าพวกมุนาฟิกูน หรือพวกหน้าไหว้หลังหลอก ขาดความจริงใจ คนเหล่านี้เป็นคนที่มีอันตรายมากยิ่งกว่าศัตรูที่เปิดเผยเสียอีก ส่วนชาวยิวในมะดีนะฮฺนั้นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง กล่าวคือตอนแรกพวกเขาร่วมกันกับชาวมะดีนะฮฺในการต้อนรับท่านศาสดาเป็นอันดี ทั้งนี้พวกเขาหวังที่จะชักชวนท่านศาสดามาเข้าเป็นพวกของตน แต่เมื่อภายหลังได้พบว่าพวกเขาไม่อาจจะทำได้ พวกเขาจึงค่อย ๆ ถอนความช่วยเหลือออกไปทีละน้อย ๆ และได้กลายเป็นศัตรูของอิสลามไปในที่สุด

สถาบันทางการเมือง

ท่านศาสดาพยายามสร้างความรู้สึกความเป็นพี่น้องขึ้นระหว่างคนเหล่านั้นให้มากที่สุด เพราะท่านแลเห็นความจริงที่ว่าอาณาจักรอิสลามจะมีรากฐานที่แข็งแรงไม่ได้หากไม่ได้รับการค้ำจุนจากประชาชนทุกฝ่าย ความมีขันติต่อศาสนาอื่น ๆ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นในเมื่อมีคนหลายเผ่าหลายชาติอาศัยอยู่รวมกัน ด้วยวัตถุประสงค์นี้ท่านศาสดาจึงได้จัดตั้งระเบียบขึ้นเรียกว่า ธรรมนูญแห่งมะดีนะฮฺ ซึ่งเป็นระเบียบเพื่อการเลิกล้มการอาฆาตพยาบาทกันระหว่างเผ่าและเพื่อให้สิทธิ์ต่างแก่ประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะชาวยิวที่อาศัยอยู่ในมะดีนะฮฺและรอบ ๆ มะดีนะฮฺ เนื้อความสำคัญในธรรมนูญนั้นมีอยู่ดังนี้
1 ) ชุมชนทั้งหลายที่ลงนามในพันธะสัญญา นี้จักเป็นชาติเดียวกัน
2 ) ถ้ากลุ่มชนใดที่ลงนามในพันธะสัญญานี้ถูกข้าศึกศัตรูรุกรานชนกลุ่มอื่นจะรวมกำลังกัน
ช่วย ทำการปกป้อง
3) จักไม่มีกลุ่มชนใดในชาติเดียวกันนี้ไปทำสนธิสัญญาอย่างลับ ๆ กับพวกกุร็อยช์ หรือให้
ที่พึ่งพาอาศัยแก่คนเหล่านั้นหรือช่วยเหลือคนเหล่านั้นให้ต่อต้านชาวมะดีนะฮฺ
4) ชาวมุสลิม ชาวยิวและชุมชนอื่น ๆ ของสาธารณรัฐนี้ย่อมมีอิสระที่จะนับถือศาสนาของ
ตนได้และปฏิบัติกิจตามศาสนาของตนได้โดยไม่มีใครขัดขวาง
5) การการะทำผิดส่วนตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมจะต้องถือว่าเป็นความผิดส่วน
ตัวไม่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่บุคคลนั้นอยู่
6) ผู้ที่ถูกกดขี่จะต้องได้รับการปกป้อง
7) นับตั้งแต่นี้ไปการทำให้เลือดตกยางออก การฆ่าและความรุนแรงต่าง ๆ ถือว่าเป็นสิ่งหะ
รอม ( น่ารังเกียจ ) ในมะดีนะฮฺ
8) ศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) ศาสดาแห่งพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นประธานของสาธารณรัฐ และ
จะเป็นศาลอุทธรณ์สูงสุดในดินแดนนี้
ความสำคัญของธรรมนูญนี้อยู่ตรงที่ว่าเป็นธรรมนูญฉบับแรกในโลกที่เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ก่อนหน้าที่ท่านศาสดาได้มีผู้ปกครอง แต่ก็ไม่มีใครเคยให้รัฐธรรมนูญที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ประชาชนของตน
ท่านศาสดามุหัมมัดเป็นคนแรกที่ประจักษ์ถึงความสำคัญของความร่วมมือและการให้ความสำคัญต่อประชาชนในการบริหารรัฐและการรักษาสัญญานี้ยังได้แสดงให้เห็นด้วยว่าท่านศาสดามุหัมมัดมิใช่เป็นแต่นักสั่งสอนศาสนาเท่านั้นแต่ยังเป็นรัฐบุรุษที่เป็นนักปกครองที่ดีด้วย
เมื่อศาสนาอิสลามได้ก่อตัวเป็นรัฐแล้ว มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความพร้อมในด้านกำลังทหาร การเมืองและเศรษฐกิจ มิฉะนั้นแล้วรัฐอิสลามแห่งมะดีนะฮฺจะถูกโจมตี และรุกรานจากพวกกุร็อยซฺ และเหล่าศัตรูรอบๆ มะดีนะฮฺได้ง่าย นักประวัติศาสตร์ที่ไม่หวังดีต่ออิสลามหลายท่านกล่าวหาศาสนาอิสลามว่าชอบทำสงคราม และเผยแพร่ศาสนาด้วยคมดาบ อันที่จริงแล้วอิสลามเป็นศาสนาสันติ ที่จำเป็นต้องทำสงครามนั้นก็เพราะว่าเพื่อปกป้องศาสนาและอธิปไตยของรัฐเท่านั้น ในสมัยของท่านนบีเองหลังจากอพยพมายังมะดีนะฮฺแล้วมีสงครามเกิดขึ้นระหว่างชาวมุสลิมกับศัตรูต่างๆ ถึง 47 ครั้ง และในจำนวนนั้นท่านนบีเข้าร่วมสงครามด้วยตนเองถึง 27 ครั้ง ในบรรดาสงครามต่างๆ เหล่านี้ มีสงครามที่สำคัญดังนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น