การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่านนบี



การทำฮัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่านศาสดา

ในวันที่ 25 เดือนซุลเกาะอฺดะฮฺ ปีที่ 10 แห่ฮิจเราะฮฺศักราช ศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) และบรรดาภรรยาของท่านได้ออกเดินทางไปมักกะฮฺติดตามด้วยประชาชนจำนวนราว 90,000 คน มุ่งสู่นครมักกะฮฺด้วยหัวใจที่ปลื้มปิติยินดีที่จะได้ประกอบพิธีฮัจญ์ และเมื่อเดินทางถึงซุลฮุลัยฟะฮ (Dhul Hulaifa) ในตอนสิ้นแสงตะวันพวกเขาได้ค้างคืนที่นั่นหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นจึงได้สวมใส่ชุดอิหรอมเดินทางต่อไปยังมักกะฮฺในขณะที่ชาวมุสลิมเดินทางไปทำพิธีฮัจญ์นั้น อะลี อิบนุ อบีฎอลิบได้เดินทางกลับมาจากยะมันจึงได้เดินทางไปสมทบใจพิธีฮัจญ์ด้วย
คำสอนครั้งสุดท้ายของศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ )
ในวันที่ 8 ซุลฮิจญะฮศาสดามุหัมมัดและบรรดามุสลิมได้ไปพักอยู่ที่ตำบลมินาและค้างอยู่ที่นั่น วันรุ่งขึ้นท่านได้ขึ้นอูฐเดินทางไปยังภูเขาอะรอฟะฮฺได้ตั้งกระโจมพักอยู่ที่นั่น ในตอนเที่ยงท่านได้เดินทางไปถึงภูเขานูร ณ ที่นี้เองท่านได้นั่งบนหลังอูฐและเริ่มเทศนาสั่งสอนชาวมุสลิมด้วยเสียงอันดังโดยมี เราะบีอะฮ อิบนุ อุมัยยะฮฺ อิบนุ เคาะลัฟ คอยพูดซ้ำทีละประโยค ศาสดาเริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระผู้เป็นพระเจ้าขอบคุณพระองค์แล้วท่านก็กล่าวสุนทรพจน์ ดังต่อไปนี้ :
โอ้ ท่านทั้งหลายจงตั้งใจฟังคำพูดของฉันเพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะได้พบกับพวกท่านในโอกาสเช่นนี้อีกเมื่อไร โอ้ท่านทั้งหลายชีวิตและทรัพย์สินของพวกท่านเป็นสิ่งต้องห้ามและเป็นสิ่งที่คนหนึ่งคนใดจะมาล่วงละเมิดมิได้ จนกว่าพวกท่านจะได้พบกับผู้อภิบาลเสมือนกับวันบริสุทธิ์นี้ และเดือนนี้เป็นเวลาที่ต้องห้ามสำหรับพวกท่านและเมืองนี้ก็เป็นเมืองต้องห้ามสำหรับพวกท่านทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลายจะต้องได้รับการสอบสวนจากองค์พระผู้อภิบาลของพวกท่านในกิจการงานทุกอย่างที่พวกท่านได้กระทำไว้
โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านทั้งหลายมีสิทธิที่ได้รับมอบหมายเหนือฝ่ายสตรีและฝ่ายสตรีก็มีสิทธิเหนือฝ่ายชายเช่นกันในหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบหมาย ดังนั้นพวกท่านจงได้ปกป้องดูแลภรรยาของพวกท่านด้วยความรักความเมตตาเถิด แน่นอนใครที่ทำได้เช่นนั้นก็เท่ากับเขาได้ปกครองดูแลภรรยาของเขาเอาไว้ให้อยู่ในความพิทักษ์รักษาของพระผู้เป็นเจ้า พวกท่านทั้งหลายจงรักษาความศรัทธาเชื่อมั่นให้คงไว้ในจิตใจของพวกท่านและจงหลีกเลี่ยงออกห่างจากเรื่องบาปกรรมและความชั่ว ดอกเบี้ยหรือการให้กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเป็นสิ่งต้องห้าม สำหรับลูกหนี้ให้ส่งคืนเฉพาะเงินในจำนวนที่ยืมมาและเรื่องของดอกเบี้ยที่จำเป็นจะต้องถูกยกเลิกคือ ดอกเบี้ยของอับบาส อิบนุ อบูฎอลิบ (Abbas Ibn Abutalib)
นับแต่นี้ต่อไปเรื่องของการแก้แค้นทดแทนกันด้วยเลือดเช่นในสมัยของยุคป่าเถื่อนเป็นเรื่องต้องห้าม การอาฆาต จองล้างตองผลาญกันด้วยเลือดต้องสิ้นสุดลงเสียที เริ่มต้นด้วยเรื่องการฆาตกรรมของอิบนุเราะบีอะฮ อิบนุ ฮาริษ (Ibn Rabia-hibn Harith )
โอ้ประชาชนทั้งหลายบรรดาข้าทาสคนใช้ของท่านที่อยู่ในความดูแลของพวกท่านนั้นจงเลี้ยงดูพวกเขาเช่นอาหารที่พวกท่านรับประทาน และให้เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่พวกเขาด้วยเครื่องนุ่งห่มที่พวกท่านใช้ หากพวกเขาได้กระทำในสิ่งที่เป็นความผิดพลาดชนิดที่ท่านไม่ปรารถนาที่จะอภัยให้พวกเขาก็จงแยกทางกับเขาเสียอย่าทำร้ายเฆี่ยนตีทำทารุณพวกเขา เพราะเขาต่างก็เป็นบ่าวของพระองค์เช่นเดียวกับพวกเรา
โอ้ประชาชนทั้งหลายมารร้ายนั้นได้หมดสิ้นความหวังทั้งมวลที่จะได้รับการเคารพบูชาในดินแดนของพวกท่านแล้ว แต่กระนั้นก็ตามมันยังเป็นห่วงที่จะกำหนดการกระทำอันต่ำต้อยของพวกท่านอยู่ เพราะฉะนั้นจงระวังมันไว้เถิด เพื่อความปลอดภัยแห่งตัวท่านและศาสดาของท่าน
โอ้ประชาชนทั้งหลายพวกท่านจงรำลึกและจดจำในสิ่งที่ฉันพูดพวกท่านต้องรำลึกเสมอว่ามุสลิมทุกคนนั้นมีฐานะเป็นพี่น้องกันนพวกท่านทั้งหลายต่างมีความพอใจในสิทธิและหน้าที่ความรับผิชอบที่เรามีอยู่เสมอหน้ากัน พวกท่านแต่ละคนล้วนแต่เป็นสมาชิกของสังคมพี่น้องเดียวกันจงปกป้องตัวจองท่านให้ห่างไกลจากความอยุติธรรมในทุกกรณี ขอให้บุคคลที่อยู่ที่นี้จงนำสิ่งที่ได้ยินจากฉันไปบอกเล่าแก่บุคคลที่เขาไม่ได้มาอยู่ ณ ที่นี้เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคนที่ไม่ได้รับการบอกเล่านั้นอาจมีความจดจำได้ดีกว่าบุคคลที่ได้ยินไปจากฉันโดยตรงก็เป็นได้ และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจเขาจะต้องไม่ให้ผู้ที่ไว้วางใจเขาต้องประสบความผิดหวัง
โอ้ ผู้ศรัทธาทั้งหลายหากเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องจากพวกท่านไปแล้วพวกท่านจงอย่าได้หันกลับไปต่อสู่เป็นศัตรูหลั่งเลือดกัน เหมือนอย่างเช่นสมัยแห่งความโง่เขลา ดังที่ได้ผ่านมา แท้จริงฉันได้มอบสิ่งหนึ่งแก่พวกท่านทั้งหลายซึ่งหากพวกท่านยึดเอาไว้อย่างมั่นคงแล้ว ท่านทั้งหลายจะไม่หลงออกไปสู่แนวทางที่เหลวไหลเป็นอันขาด สิ่งนั้นคืออัลกุรอาน และสุนนะฮของฉัน
โอ้ ศรัทธาทั้งหลาย แท้จริงพระผู้เป็นเจ้าของพวกท่านนั้นมีพระองค์เดียว ต้นตระกูลของพวกท่านก็สืบมาจากเชื้อสายเดียวกัน นั่นคืออาดัม และอาดัมนั้นถูกสร้างมาจากดิน แท้จริงผู้ที่มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้านั้นคือผู้ที่มีความยำเกรงมากกว่าเท่านั้น
โอ้ ท่านทั้งหลายจงสดับฟังถ้อยคำของฉันให้ดี จงรู้เถิดว่ามวลมุสลิมนั้น ย่อมเป็นพี่น้องกันและจงรู้เถิดว่า บรรดามุสลิม ก็คือภราดรภาพอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีสิ่งไดที่เป็นของพี่น้องมุสลิมด้วยกันจะเป็นของมุสลิมโดยถูกต้องนอกจากว่าเขาผู้นั้นจะให้โดยเต็มใจและไม่คิดมูลค่าเพราะฉะนั้นจงอย่ากระทำการอยุติธรรมต่อตัวของท่านเอง
โอ้พระผู้เป็นเจ้าข้าพระองค์ได้ประกาศสัจธรรมออกเผยแพร่แล้ว
โอ้องค์พระผู้อภิบาล ขอได้ทรงโปรดเป็นพยานให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
เมื่อศาสดาเสร็จจากการให้โอวาทครั้งนี้แล้ว ท่านได้ลงจากหลังอูฐ ซึ่งเป็นพาหนะของท่านเพื่อทำนละหมาดซุฮร์ และท่านได้นมาซอัศร์ด้วย ท่านศาสดาได้สำนึกในพระเมตตาจากองค์พระผู้อภิบาลที่ได้ทรงประทานความดีงามอันมากมายให้แก่ตัวท่านและผลงานของท่านและได้ให้เกียรติต่อการเป็นศาสนทูตของท่าน และท่านได้อ่านโองการจากคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ อัลมาอิดะฮ อายะฮฺที่ 4 ซึ่งมีข้อความว่า
ในวันนี้ข้าได้ให้ศาสนาของข้าแก่พวกเจ้าไว้อย่างครบครัน ได้มอบกรุณาธิคุณของข้าให้แก่พวกเจ้าไว้อย่างครบถ้วน และข้ายินดีเลือกเฟ้นให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของพวกเจ้า
ท่านอบุบักร์เมื่อได้ยินท่านศาสดาอ่านโองการจากคัมภีร์อัลกุรอานท่านก็เกิดความเข้าใจและทราบความหมายเป็นอย่างดีจากอายะฮที่นำมานี้เป็นสัญญาณบอกให้รู้ล่วงหน้าแล้วว่าท่านได้มาถึงช่วงปลายของชีวิต อบูบักร์รู้สึกไม่สบายใจ ท่านได้แอบร้องไห้อยู่เงียบๆโอวาทของท่านแม้จะเป็นโอวาทที่สั้น แต่เป็นสิ่งที่มีค่าบรรจุด้วยถ้อยคำตักเตือนที่ทรงคุณมหาศาลชาวมุสลิมเรียกสุนทรพจน์ครั้งนี้ว่า คำสั่งเสียครั้งสุดท้าย
ศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) ได้ออกจากทุ่งอารอฟะฮไปค้างคืนที่มุซดะลีฟะฮในตอนเช้าท่านจึงเดินทางเข้าสู่มินา เพื่อเตรียมตัวที่จะขว้างเสาหิน อันเป็นสัญญาลักษณ์ของชัยฏอนมารร้าย เมื่อมาถึงกระโจมที่พักท่านได้ทำกุรบ่าน การทำฮัจญ์ครั้งนี้บางครั้งมีผู้เรียกว่า การทำฮัจญ์อำลา ”( ฮัจญะตุลวะดาอฺ )อันที่จริงนี่เป็นการทำฮัจญ์ใหญ่ครั้งเดียวของท่าน ที่เรียกดังนี้เพราะครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ท่านได้เห็นนครมักกะฮฺ
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์แล้ว ท่านก็ได้เดินทางกลับมายังมะดีนะฮฺ ปีนี้นับเป็นปีที่สิบเอ็ดของศักราชอิสลาม ศาสดามุหัมมัด ( ศ็อลฯ ) เริ่มมีอาการป่วยไข้เกิดขึ้นเป็นระยะๆ แต่ท่านก็ไม่ได้หยุดยั้งในการคิดใคร่ครวญหาทางปกป้องศาสนาอิลามให้พ้นจากภัยของศัตรู เมื่อท่านได้ทราบข่าวว่าชาวโรมันกำลังตระเตรียมกองทัพขนาดใหญ่เพื่อที่จะเข้าโจมตีแว่นแคว้นอาณาจักรของมุสลิมแถบชายแดนซีเรีย ท่านได้ออกคำสั่งแต่งตั้งอุซญามะฮ ลูกชายของท่านซัยด์ ซึ่งขณะ นั้นอายุเพียง 20 ปีทำหน้าที่เป็นแม่ทัพ นำกองทัพไปเผชิญหน้ากับทหารไบแซนไตน์
ในวันรุ่งขึ้นเป็นวันจันทร์ อาการอ่อนเพลียและไข้ได้กำเริบสูงขึ้นและอาการเริ่มทรุดลงตามลำดับ ท่านทราบดีว่าเวลาที่ท่านได้กลับไปสู่พระผู้อภิบาลได้ใกล้เข้ามาแล้ว ในที่สุดท่านก็ได้เสียชีวิตในวันจันทร์ที่สิบสองของเดือนเราะบิอุลเอาวัลในปีที่สิบเอ็ดหลังจากปีฮิจญเราะห์ ตรงกับวันที่ 8 เดือนมิถุนายน ปี ค . ศ .632 รวมอายุได้ 63 ปี
เมื่อข่าวศาสดาสิ้นชีวิตแพร่ขยายออกไปบรรดามุสลิมต่างเร่งรีบมายังมัสญิด เพื่อมาสืบให้รู้แน่ชัดว่าข่าวที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นความจริงแค่ไหน เพราะไม่มีใครอยากเชื่อว่าศาสดาได้จากไปแล้ว สหายคนสนิทของท่านและเป็นพ่อตาของท่านคือ อุมัร อิบนุ อัล ค็อฎฎ็อบตกตะลึงต่อข่าวนี้ท่านถึงกับชักดาบออกมาจากฝักพลางร้องประกาศว่าใครขืนพูดว่าศาสดาตายฉันจะตัดคอคนพูดทันที ขณะที่เกิดเหตุการณ์สับสนวุ่นวายกันอยู่นี้มาสาวกของศาสดาคนหนึ่งได้รีบนำข่าวการสิ้นชีวิตไปแจ้งให้อบุบักร์ ท่านก็ได้รีบรุดมายังบ้านของท่านศาสดา ท่านได้ออกไปยืนอยู่ที่บริเวรด้านหน้าของมัสญิดและได้ประกาศแก่ผู้ชุมนุมว่า
หากพวกท่านมีความเคารพต่อศาสดามุหัมมัด อย่างจริงใจพึงรู้เถิดว่ามุหัมมัดได้สิ้นชีวิตแล้ว แต่ถ้าหากท่านมีความเคารพบูชาต่อพระผู้เจ้าแล้วขอให้รู้เถิดว่าพระเจ้าทรงยั่งยืนไม่มีการดับสลาย
แล้วท่านอบูบักร์ก็ได้อัญเชิญคัมภีร์ อัล กุรอาน เพื่อประกาศให้บรรดาคนทั่วไป ณ ที่นั้นได้รำลึกและเตือนสติว่า และมุหัมมัดไม่ใช่อื่นใด นอกจากเป็นศาสนทูตคนหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีบรรดาศาสนทูตที่ได้ล่วงลับไปแล้วเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นหากว่าเขาได้ตายลงหรือถูกฆ่าตายพวกเจ้าก็ไม่ควรที่จะหันกลับไปสู่ศาสนาเดิม
( อัลกุรอาน ซูเราะฮ อาลิอิมรอน อายะฮ 144)
เมื่อคำประกาศนี้สิ้นสุดลง บรรดามุสลิมก็ได้คลายความสับสนว้าวุ่นทั้งๆ ที่พวกเขาก็ต่างเคยได้ยินโองการนี้มานับครั้งไม่ถ้วนก่อนที่อบูบักร์จะอัญเชิญมาเตือนกันพวกเขายอมรับไม่ได้ก็เพราะว่าพวกเขาได้รับทราบ
ข่าวการเสียชีวิตของศาสดาในเวลากระทันหันและรวดเร็วโดยที่ไม่คาดคิดมาก่อน มาบัดนี้พวกเขาไม่สงสัยอีกแล้วว่าศาสดาได้จากพวกเขาแล้วอย่างไม่มีวันกลับเช่นเดียวกับบรรดาศาสดาอื่นๆในอดีต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น